คนเราได้ดีก็เพราะปาก หากใช้คำพูดในทางที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนั้น เพราะมีหลายคนที่ต้องเดือดร้อนก็เพราะปากของตนเองเช่นกัน ซึ่งเรื่องที่เราจะเล่าให้เพื่อนๆฟังกันในวันนี้ก็เป็นเรื่องของน้องคนหนึ่ง ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ตอนสมัยที่ตนเองยังเป็นนักเรียนและได้ไปเข้าค่ายลูกเสือ แต่ด้วยความที่ปากพาซวยจึงทำให้ต้องเจอกับเรื่องที่ยังคงหลอนอยู่ในใจไปตลอด เรื่องมีอยู่ว่า
สวัสดีครับพี่ๆ น้องๆ ทุกๆท่านนน วันนี้ผมมีเรื่องเล่าสยองขวัญที่สุดที่ผมได้เจอกับตัวมาให้ทุกๆท่านได้รับฟังกันน้ะครับบ อาจจะพิมพ์ตกหล่นไปบ้าง ผมขอโทษทีนะครับผมม พอดีผมพิมพ์ในโทรศัพท์ ขอใช้ศัพท์วัยรุ่นหน่อยน้ะครับเพื่อความสะดวก ขอรับประกันเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง ไม่มีการตกแต่งใดๆเพิ่มเติม ผมเจอมาตอนป.6 ซึ่งมันก็ผ่านมานาน6ปีเต็มๆ แต่ผมไม่เคยลืมเลยครับ เล่าให้ฟังในก๊วนกี่ทีก็เรื่องนี้เด็ดสุด 55555 ขอเริ่มเลยน้ะครับผม เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นป.6 ในกรุงเทพแถวๆตลาดน้อย แล้วได้ไปเข้าค่ายลูกเสือในชลบุรี วันแรกที่ผมไปถึง ก็ไม่มีอะไรมาก ซึ่งพวกผมไป ถึงก็ช่วงบ่ายๆ เมื่อไปถึงเขาก็ให้ไปที่หอประชุม เพื่อแจ้งเวลาและกำหนดการณ์ในวันนั้น ว่าต้องทำอะไรบ้าง ประชุมเสร็จก็ให้ไปเก็บกระเป๋าที่เชลเตอร์ แล้วก็ไปอาบน้ำ เพื่อออกมาทานข้าวเย็น แล้วก็ทำความรู้จักกับครูฝึกที่นั่น
คืนแรกไม่มีอะไรมากครับ วันที่สองพวกผมตื่นมาตอนตี5เพื่อเต้นแอโรบิค แล้วก็ไปอาบน้ำเตรียมทานอาหารเช้าและเตรียมตัวเดินทางไกล ผมก็นั่งคุยเล่นกับเพื่อน จนถึงหมู่พวกผม (ขอบอกก่อนนะครับว่าหมู่ผมเป็นหมู่สุดท้ายเพราะไปแค่ป.5กับป.6เท่านั้น) พวกผมก็ลุกแล้วเดินตามๆกันไป พอเดินออกไปก็ซื้อน้ำที่ขายเป็นแก้วกับไอติมเพื่อเดินไปกินไปครับ แต่แค่เดินไปถึงแค่หน้าทางเข้าผมก็กินหมดเกลี้ยงซะแล้ว และตอนที่เดินทางไกลก็มีทางที่ต้องปีนก้อนหินเพื่อเข้าป่าด้วย ไม่ได้สูงมากครับ แต่สำหรับเด็กประถมก็อาจจะพอดูสูงบ้าง พอเดินไปกำลังจะปีนก้อนหินเพื่อเข้าป่า ก่อนจะปีนผมเหลือบตาไปเห็นกล่องโฟมกับขนมตาล3ชิ้นวางไว้อยู่หน้าก้อนหินลูกหนึ่งไม่ไกลจากที่ผมปีนมานัก หินก้อนนั้นจะดูสูงกว่าหินก้อนอื่นๆ
ผมเห็นเท่านั้นแหล่ะ ผมก็พูดออกมาเลยว่า “ใครทำเชี้ยไรวะ แล้วไม่ยอมทิ้งดีๆ” ผมพูดแค่นั้นแหละครับ แล้วคำพูดนี้นี่แหล่ะที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด พอผมพูดเสร็จ ผมก็ทิ้งแก้วกับเปลือกไอติมที่ผมกินหมดแล้วทิ้งลงถังขยะซึ่งอยู่ใกล้กับกล่องโฟมนั้นมาก ผมทิ้งเสร็จก็เดินไปแปปเดียวก็ถึงหินที่ต้องปีนขึ้นไปแล้ว เพื่อนๆแต่ละคนก็ปีนขึ้นไปทีละคนๆจนทุกคนปีนเสร็จ ซึ่งผมเป็นคนปีนคนสุดท้าย พอผมก้าวขาขึ้นไปแล้วกำลังจะยืนเพื่อเดินต่อ ก็รู้สึกว่ามีแรงๆหนึ่งที่เหมือนแรงจากมือคนมาผลักตรงก้นผม แล้วผมก็ล้ม ตอนนั้นผมโมโหมากพอลุกขึ้นมาได้ก็รีบหันไปดู กำลังจะด่าว่าใครผลักแต่ผมหันไปมันไม่มีใครเลย แต่แรงนั้นเป็นแรงผลักจริงๆ เพราะผมพุ่งไปชนขาครูฝึก จนครูฝึกเกือบล้มทับผมไปด้วย ตอนนั้นผมก็ไม่ได้อะไรเพราะคิดว่าอาจจะสะดุดก็ได้ เลยคุยกับเพื่อนว่า
“กูว่ามีคนผลักกูจริงๆนะ มันเหมือนมีคนผลักจริงๆ”
เพื่อนผมก็บอกว่า
“คิดมากไม่มีไรหรอก”
จากนั้นพวกผมก็เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินจะมีต้นไม้ที่รูปทรงแปลกๆดูน่ากลัวมากๆ บางต้นจะเหมือนเส้นเลือดคนที่เวลากำหมัดแน่นๆแล้วจะขึ้น บางต้นก็ให้ความรู้สึกหดหู่ ผมก็เดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใหญ่มาก โดนตัดแล้ววางไว้ขวางทางเดินพวกผมอยู่ แล้วมีสีแดงๆตรงเนื้อไม้ ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว ผมเลยพูดกับเพื่อนๆว่า
“เฮ้ยพวก อย่าเหยียบนะ ยกมือไหว้แล้วข้ามเอาดีกว่า กูรู้สึกแปลกๆเหมือนประตูหน้าวัดเลย”
เพื่อนผมก็ทำตามที่ผมพูดหมดนะครับ แต่มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่ตัวเตี้ยกว่าคนอื่น มันปีนแล้วก็ไหว้ ผมเลยบอกมันว่า
“เห้ยปีนทำไม”
มันเลยบอกผมว่า
“กูขาสั้น ก้าวไม่พ้น”
ผมก็ไม่ได้อะไร ก็เดินเล่นกับเพื่อนๆตามทางมาเฮฮากันปรกติ ทางที่ผมเดิน มันจะมีใบไม้แห้งตามตลอดทาง พวกผมเดินกันไปเรื่อยๆแล้วหยุดพักกันที่ตรงต้นไม่ต้นหนึ่ง แต่ทุกคนหยุดแล้วผมได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้แห้งอีก1ก้าว พวกผมได้ยินกันทุกคน เลยหันไปดูว่าเสียงนั้นคือใคร ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกผมเดินกลุ่มสุดท้าย หลังจากนั้นไม่มีใครแล้วครับ ผมเลยบอกเพื่อนๆผมว่า “เดี๋ยวพวกเราเดินกันอีก2ก้าวแล้วหยุดเลยนะ” พวกผมก็เดิน กริบ กริบ แล้วพวกผมก็ได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้อีกก้าวหนึ่งกันทุกคน
ตอนนั้นคือคิดแล้วว่า เสียงใครเดินกันแน่ มองซ้ายมองขวาแล้วก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยยกเว้นพวกผม ทีนี้ก็เดินรีบเดินกันแต่แบบ เสียวๆสันหลังอยู่เรื่อยๆ จนรู้สึกว่าหลงทางกันเพราะว่าหาป้ายบอกทางที่อาจารย์เอามาติดกันไม่เจอ พวกผมไม่รู้จะทำยังไงต่อเลยเดินตรงไปเรื่อยๆ สักพักก็เห็นลุงคนตัดต้นไม้คนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้อยู่ พวกผมเลยเดินเข้าไปถามลุงคนว่าเห็นพวกนักเรียนเดินผ่านมาแถวนี้บ้างไหม พอพวกผมเดินเข้าไปหาลุงนั้นใกล้ๆ ลุงก็เงยหน้าขึ้นมา ผมเห็นหน้าลุงเขาดำเหมือนโดนเผาอย่างไงอย่างนั้นเลย แล้วตาแดงแบบ แดงเถือกเลยครับไม่มีตาดำ ตอนนั้นคือช็อคมากครับ จนเพื่อนผมเขย่าตัวผมถึงรู้สึกตัวแล้วเห็นว่าลุงเขาเป็นคนสีผิวแทนธรรมดา ผมก็คิดในใจว่า แล้วเมื่อกี้มันคืออะไรว้ะ ทำไมเห็นแบบนั้น
จากนั้นพวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ ในหัวผมก็คิดถึงแต่เรื่องของลุงคนนั้นตลอด จนเพื่อนผมถามว่า เมื่อกี้เจออะไรว้ะ ทำไมหน้าเหว๋อๆ ผมเลยบอกไปว่า เปล่า ไม่มีอะไร เพื่อไม่อยากให้พวกมันคิดมาก และก็พากันเดินไปเรื่อยๆ จากที่ผมเป็นคนเฮฮา ตอนนั้นผมเงียบไม่คุยกับใครเลยครับ จนถึงทางชันที่มันเป็นทางลงของป่า (ซึ่งทางนั้นชันมากครับ แล้วเวลาลงเหมือนมันทิ้งให้วิ่งไปข้างหน้า คือเดินไม่ได้อ้ะครับ ถ้าเดินมันจะเหมือนทิ้งตัวอย่างเดียว แล้วจะมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่กลางทางให้จับแล้วค่อยๆลงต่อ)
เพื่อนผมทุกคนลงได้ แบบไม่มีใครล้ม ผมที่น้ำหนักตอนนั้น90กว่าๆ คิดในใจว่า ต้นไม้มันจะหักมั๊ยว้ะถ้าจับมันบวกกับแรงที่เดินลงด้วยความเร็วอีกด้วย แต่ผมก็รอดมาได้ ไม่มีแผล ไม่ล้มอะไรเลย ตรงนั้นคือใกล้จะถึงหอพักแล้วนะครับ คนเลยอยู่ตรงนั้นเยอะหน่อยเพราะต้องเขียนเยอะแล้วส่งครูฝึกให้ครูให้ตรวจตรงนั้นเลย มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเพื่อนผม เขาปวดฉี่เลยขอให้ครูพี่เลี้ยงพาขึ้นไปฉี่หน่อยที่ไม่ค่อยมีคน เพื่อนผู้หญิงคนนั้นกับพี่เลี้ยงก็เดินขึ้นไปหาที่ฉี่กัน ผมก็นั่งรออาจารย์ตรวจ แต่เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ เลิศ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ถามทางออกลุงตัดต้นไม่แหละครับ มันอยากจะวิ่งตรงทางชันตรงนั้นอีกรอบ มันเลยเดินขึ้นไป แล้วมันก็เล่นยกมือแล้วพูดกูจะลงแล้วน้า แล้วก็วิ่งลงมา แต่ที่ผมเห็นคือ หน้าอกมันเหมือนแอ่นขึ้น แล้วมันก็กลิ้งตกลงมาคิ้วแตก
จังหวะที่เพื่อนผู้หญิงที่ไปฉี่กำลังจะเดินลงมาพอดี ไอ้เลิศมันก็มองขึ้นไปแล้วมันพูดว่า
“ไอ้ เหี้ยผลักกูทำไมว้ะสัส กูเล่นอ่อ”
ผมก็ถามมันว่า
“ใครผลัก”
มันก็บอก
“ไอ่นั้นไง”
ผมก็บอกอีกว่า
“มันไม่ได้ผลัก มันเพิ่งเดินมาถึงตอนมึงกลิ้งลงมาแล้ว”
ไอ้เลิศมันก็พูดใส่อารมณ์ว่า “ไม่ใช่มันแล้วจะใคร” (แต่ที่ผมเห็นคือไอ้เลิศมันวิ่งลงมากำลังจะจับต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางทางนั้นอยู่ แล้วมันก็เหมือนโดนผลักแบบแรงมากๆครับ ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ แล้วมันก็โดนแบบนั้นจริงๆ) ครูพี่เลี้ยงเลยพามันไปทำแผลที่โรงพยาบาลหรืออนามัยแถวๆนั้น ผมก็คุยกับเพื่อนในหมู่ผมว่า มันโดนผลักจริงๆกูเห็น เพื่อนผมก็บอกว่า
“เออกูก็เห็น หน้าอกมันแอ่นเหมือนโดนผลักแรงเลยนะเว้ย”
จากนั้นผลกับเพื่อนก็คุยกันเรื่องนี้ตลอดทางจนลงมาถึงหอประชุม แล้วแยกย้ายไปอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จผมก็เดินมาหอประชุม เห็นเพื่อนผมที่ไปทำแผล นั่งเก้าอี้อยู่ตรงหน้าเวที นั่งหลับตาและตัวสั่นๆ ผมเลยวิ่งเข้าไปจับตัวมันแล้วถามว่ามันเป็นอะไร แล้วมันพูดอะไรออกมาไม่รู้ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ คือไม่ใช่ภาษาที่คนเราฟังกันรู้เรื่องอ่ะครับ แต่คำที่มันพูดออกมา มันพยายามจะพูดภาษาไทยออกมาให้ผมรู้เรื่อง แต่ผมก็ฟังไม่ออก ผมก็เลยถามมันว่า พูดใหม่ดิ้ พูดใหม่ แล้วมันก็ผลักผม มือเดียว ผมล้มลงไปนั่งแบบงงมากๆ ว่ามันเอาแรงมาจากไหน
ต่อจากที่มันผลักผม ซึ่งผมน้ำหนัก 80-90 ในตอนนั้น แล้วเพื่อนผมที่ชื่อเลิศ น้ำหนักตัวยังไม่ถึง50เลยมั้งครับ ผมก็นั่งงงอยู่นานสองนาน ว่ามันผลักผมล้มได้ยังไงแต่ก็ไม่มีคำตอบ และพอคนอื่นๆเห็นมันตัวสั่นๆ ครูฝึกเลยแบกมันไปห้องพยาบาลเพื่อนอนพักผ่อน หลังจากนั้น ผมก็ได้บอกเพื่อนๆในหมู่ผมว่า
“ซื้อของเซ่นทางลงจากป่ากันเถอะพวก กูรู้สึกไม่ดีแล้วว่ะ…”
พวกผมก็ได้เดินไปซื้อ ใจจริงๆตอนนั้นผมไม่รู้เลยด้วยว่าของเซ่นต้องมีอะไรบ้าง ผมรู้แค่น้ำแดงอย่างเดียว พวกผมก็เลยซื้อขนม น้ำแดง น้ำอัดลมไปวางเซ่นไว้ตรงทางลงจากป่าซึ่งอยู่ห่างจากหอประชุมไม่ไกลนัก หลังจากนั้นก็กินข้าวเย็นเตรียมตัวไปแสดงรอบกองไฟ
แต่ความหลอนมันยังไม่จบเท่านั้นครับ มันเกิดขึ้นหลังจากที่ครูฝึกกำลังจะทำพิธีรำรอบกองไฟ สักพักเพื่อนผมที่ชื่อเลิศก็โทรมา บอกว่า
“มาหากูที่เชลเตอร์ หน่อย ด่วนเลย อย่าเดินผิด อย่ามองเข้าไปในป่าล่ะ”
ผมก็รีบไปเลยครับ แต่ไหงทำไมคำเตือนมันกลายเป็นคำท้าทายซะอย่างนั้น ผมวิ่งโดยที่แค่อยากจะแอบเหลือบไปมองแค่นั้นเอง กลับมองแล้วเหมือนติดอยู่ในภวังค์เลยครับ ผมมองเข้าไป เห็นเป็นคนใส่โจงกระเบนสีแดง ยืนถือไม้อะไรสักอย่างที่เป็นสามง่าม มันไม่ได้สว่างจนเห็นนะครับ แต่มันเป็นสีที่ตัดจากสีดำผมเลยเห็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบกลั้นใจวิ่งลงไปทางเข้าเชลเตอร์เลยครับ แต่ซวยจริงๆ ดันเข้าผิดซอย ไปเข้าซอยเชลเตอร์ของผู้หญิง ซึ่งอยู่ข้างหลังจากเชลเตอร์ของพวกผม แต่หลังเชลเตอร์ ของผู้หญิงก็เป็นป่าหมดเลยครับ…
ผมวิ่งลงไปมองซ้ายขวาไปเรื่อยๆ แล้วด้วยความที่ผมเล่นตั้งแต่ตอนมา เล่นขำๆกับเพื่อน ที่เอาแป้งมาทาไว้ตรงต้นไม้แล้วทำเหมือนขอหวย ผมเลยจำได้ว่าเชลเตอร์นี้เป็นเชลเตอร์ของพวกผมเอง
ต่อจากที่ผมเจอต้นไม้ที่ผมได้ทาแป้งเอาไว้นะครับ ผมก็ได้เดินไปที่เชลเตอร์ของผม แล้วเปิดและเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นมันทำให้ผมต้องหยุดชะงักตรงนั้นเลยครับ คือผมเห็นผู้ชาย ร่างใหญ่มากคือแบบใหญ่มากๆ ยืนบนที่นอนของพวกผมหัวถึงเพดานเลย มองแบบสายตาที่อาฆาตมาก ผมยืนอึ้งไป จนได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนเรียกแล้วถามว่า
“ไอ้ส. เจออีกแล้วใช่มั๊ย”
ผมก็ส่ายหน้าแล้วถามมันว่า
“ดีขึ้นยัง แล้วเรียกกูมามีไรคุยวะ เห็นตอนนั่งสั่นกูโคตรกลัวเลย”
มันไม่พูดไรมากครับ มันถามแค่ว่า
“ตรงทางสามแพร่งพูดว่าอะไร”
ตอนนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆว่าทางสามแพร่งคืออะไร เลยตอบไปด้วยความมั่นใจว่า
“ตรงไหนว้ะกูพูดหลายที่…”
มันเลยบอกผมว่า
“ตรงที่มีโฟมแล้วของไหว้อ้ะ ทางก่อนปีนขึ้นป่าตอนเดินทางไกล”
ผมก็นึกขึ้นมาได้อย่างเฉียบพลัน เลยถามกลับต่อด้วยความอวดเก่งว่า
“ฮ่อ กูพูดว่า ใครทำเชี้ยไรวะ แล้วไม่ยอมทิ้งดีๆ”
มันตอบกลับมาแล้วทำหน้าสิ้นหวังมากมาก
“ไปพูดทำไมว้ะ เพราะตรงนั้นที่เห็นว่ามีใครกิน นั้นไม่ใช่คน นั้นสัมภเวสีแถวนั้น”
ผมเลยบอกว่า
“แล้วเขาจะให้ทำยังไงว้ะ”
มันเลยบอกว่า
“เขาบอกกูว่าเขาจะเอาชีวิต กูสื่อได้แค่นี้จริงๆ กูช่วยได้แค่นี้จริงๆเพื่อน ถ้าอยากให้เขาอโหสิให้ ต้องเอาของไปเซ่นไหว้ตรงนั้นพรุ่งนี้เช้า”
ผมเลยถามกลับด้วยความอวดเก่งว่า
“ทำไมเขาจะเอากูไปทำไมเขาไม่มาที่กูเลย ไปที่มึงทำไมว้ะ”
มันเลยด่าผมว่า
“ไอ้สัสอย่าอวดเก่ง สู้เขาไม่ได้ เขาไม่ใช่คน”
ผมเลยพยักหน้าแล้วเดินออกไปชุมนุมรอบกองไฟเพราะคืนนั้นผมต้องแสดง ผมก็เดินออกไปก็แสดงและทำไรเสร็จสรรพ และกลับมานั่งสมาธิเพื่อทำจิตให้ปลอดโปร่ง แต่ตอนนั้นไม่ปลอดโปร่งแล้วครับ กลัวมากกว่า –
ผมกะจะนั่งสมาธิสัก 10นาที ผ่านไปได้แค่ 5 นาทีเพื่อนสนิทผมก๋นั่งร้องไห้ อยู่ๆก็สะอื้นออกมาซะอย่างนั้น ผมเลยหันไปถามว่า เห้ยเป็นอะไร เขย่าตัวมัน มันก็ไม่ยอมลืมตา ผมก็เขย่าแรงขึ้นแล้วเรียกชื่อมันดังๆถึงจะลืมตาขึ้นมา แน่นอนครับตอนนั้นครูฝึกก็ให้นักเรียนทุกคนเข้าเชวเตอร์นอนอย่างไวเลยครับ ผม เพื่อนอีกกลุ่มนึง ครูฝึก และครูพี่เลี้ยง เข้ามามุงดูมันหมดเลยครับ มันก็ยังร้องไห้เช่นเดิม ถามมันเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ จนผมต้องออกแนวพระเอกไปถาม
“เป็นไรต้องบอกนะเว้ย ถ้าไม่บอกใครจะรู้ ใครจะช่วยได้วะ”
มันเลยตอบกลับมาด้วยเสียงคนกลัวอะไรบางอย่าง เป็นเสียงที่เบามากฟังไม่ค่อยได้ยิน ผมเลยถามมันอีกครั้งว่าเป็นอะไร มันเลยบอกว่า
“ที่เราไปเซ่นไหว้ตรงทางลง กูเห็นเงาคนสูงใหญ่ลงมาปัดทิ้งหมดเลย”
ผมอึ้งเลยครับตอนนั้น สตั้นสุดๆ ครูพี่เลี้ยงเลยบอกว่า
“ตรงไหน พาไปหน่อย ไม่ต้องกลัว จะได้รู้ว่าเขาปัดจริงรึเปล่า”
เพื่อนผมมันก็บอกว่า
“ไม่เอา ไม่ไป ยังไงก็ไม่ไป”
เสียงแข็งมาก ผมเลยบอกครูพี่เลี้ยงว่า
“อย่าเอามันไปพี่ เดินไปดูเองเลย คนยิ่งกลัวๆอยู่จะบังคับให้ไปบ้าเปล่า”
แต่ครูพี่เลี้ยงเขาไม่ยอมฟังครับ จะพามันไปให้ได้และพูดกล่อมจนมันยอม พอมันพาครูพี่เลี้ยงเดินไป มันชี้จุดเสร็จปุ๊บมันก็วิ่งเข้ามาหาผม แล้วมันก็บอกว่า
“ช่วยด้วยย กูกลัว”
ผมเลยบอกว่า
“เออกูจะช่วยเพื่อนกูสัญญา เรื่องนี้ต้องจบพรุ่งนี้แน่นอนเพื่อน”
มันก็พูดพร้อมกับร้องไห้ออกมาว่า
“อย่าทิ้งกูนะเพื่อน กูกลัว”
หลังจากนั้นผมก็กลับเข้าเชวเตอร์เพื่อนอน คนหลายคนก็บอกผมว่า
“ไปทำไรมาวะ ทำไมพวกมันถึงเป็นงั้น”
ตอนนั้นผมพูดเลยว่า
“ไอ้สัสอย่าถามได้ป้ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ากูรู้กูจะให้มันเป็นแบบนี้อ่อ”
แต่ผมก็ไปสะดุดคำพูดเพื่อนในห้องผมคนนึงซึ่งมันบอกว่า
“กูก็เจออะไรแปลกๆเหมือนกัน”
ผมเลยถามมันทันควันเลยว่า
“เจออะไรว้ะ บอกมาดิ้”
มันเลยบอกว่า
“ตอนแสดงรอบกองไฟ กูเดินไปกินน้ำที่หอประชุม กูเห็นเงาคนตัวใหญ่ๆกำลังเดินลงมาจากในป่า”
ผมอึ้งเลยครับตอนนั้น ครูฝึกก็จงใจมาเปิดประตูที่เชวเตอร์ผมเชวเตอร์เดียว บอกว่าให้นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ผมก็นอน แต่ก็สลึมสลือลืมตาขึ้นมาดูตรงปลายเท้าของผม เห็นเงาคนยืนอยู่ พอเห็นแบบนั้น ผมรีบหลับตาและรีบนอนหลับเลยครับ ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว
พอตื่นมาก็ไปอาบน้ำ แต่งตัว เดินออกไปที่หอประชุมตามปรกติ อยู่ๆมีผู้ชายใส่ชุดขาว เดินมาเหมือนโกรธอะไรสักอย่าง อาจารย์ก็บอกว่า
“เด็กคนนี้ไงคะที่ตัวอ้วนๆที่ท่านถาม”
ชายชุดขาวคนนั้นชี้มาที่หน้าผมเลยและพูดว่า
“ไปพูดอะไรไว้ตรงนั้น ทำไมพูดแบบนั้น รู้มั๊ยจะตายเอาได้”
ผมกึ่งตกใจกึ่งสตั้นก็ไม่พูดไม่จา พูดได้แต่คำว่าขอโทษครับ ขอโทษครับ อาจารย์เลยบอกว่า
“เขาไปทำอะไรมาหรอคะ”
ชายชุดขาวคนนั้นก็บอกว่า
“มันไปด่าทางสามแพร่ง”
อาจารย์ก็ถามต่อไปว่า
“แล้วแบบนี้ท่านจะช่วยได้มั๊ยคะ เด็กของเราต้องทำยังไงบ้าง”
เขาก็บอกว่า
“ช่วยได้เท่าที่ช่วยแล้วกัน ถ้าไม่ได้อย่างไรก็แปลว่าเด็กคนนี้ชะตาขาดแล้วแหล่ะ”
ครูก็เลยพาผมไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้ แล้วก็มีพวกผู้หญิงมาไหว้ด้วย แต่อยู่ๆมันก็ร้องไห้แล้วถามว่า
“เมื่อวานทำไรไว้ รู้มั๊ยพวกกูนอนกันไม่ได้เลยน้ะเว้ย กูขอเหอะ ทำให้มันจบสักที”
ผมถามว่า
“พวกเธอโดนไรกัน”
มันเล่าให้ฟังว่า
“เมื่อคืน พวกกูได้ยินเสียงคนเดินเหมือนขาเจ็บอ้ะ แต่ตรงขามีโซ่ลามไว้อยู่ด้วย แล้วก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย ได้ยินเสียงคนใส่กระดิ่งที่เท้าแล้ววิ่ง”
ผมได้แค่ทำหน้าอึ้งแล้วขอโทษ จากนั้นผมก็เดินไปไหว้ขอบคุณชายชุดขาวคนนั้น หลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับกัน ก่อนกลับผมมองมาที่ข้างหลังรถเห็นเป็นคนเงาดำๆยืนอยู่ข้างๆชายชุดขาวคนนั้น ผมไม่อยากจะคิดอะไรต่อมากก็มองแล้วผ่านไปและนั่งรถกลับมา พอถึงโรงเรียนและก็กลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านผมก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ผมฟัง พี่ก็บอกว่า
“วันรุ่งขึ้นให้ผมรีบไปถวายสังฆทานที่วัดทันที “
พอถวายสังฆทานเสร็จ หลวงพี่ท่านก็ถามว่า อ้าวทำไมไม่พาคนนั้นเข้ามาด้วยละ อ้อ นั้นไม่ใช่คนนินา แล้วก็ยิ้มๆจากนั้น หลวงพี่ก็บอกว่า เขาอะโหสิให้แล้วนะ อย่าไปทำอีกแล้วกัน ผมก็ไหว้แล้วกราบลาท่าน…ซึ่งผมเองก็คิดในใจว่า ต่อไปนี้จะสงบปากสงบคำ และคิดก่อนพูดเสมอจะได้ไม่ใต้องเจอกับเรื่องแปลกๆอะไรอีก