เพื่อนๆในที่นี้มีใครเคยอยู่โรงเรียนประจำกันบ้างไหมคะ ขนาดโรงเรียนไปกลับหลายๆคนก็ยังเคยมีประสบการณ์หลอนๆแต่ก็ยังสามารถกลับบ้านไปพักในพื้นที่ที่เราคุ้นเคยได้ แล้วถ้าคุณไปอยู่โรงเรียนประจำล่ะ การเจอเรื่องราวหลอนๆมันจะยิ่งขนลุกขนพองขึ้นมาก ดังเรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้
เริ่มเรื่องกันก่อนเลย สมัยนั้นเราเรียนอยู่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของจังหวัด โรงเรียนนี้ก่อตั้งมาร่วมร้อยกว่าปีแล้วค่ะ และประวัติศาสตร์ในเรื่องลี้ลับก็มีเสียงเล่าลือกันมาหนาหู ฟังจากปากของรุ่นพี่จากรุ่นสู่รุ่นมาเยอะ แต่ก็เราก็ไม่ได้เอะใจหรือนึกสงสัยอะไรเลย จนมาวันหนึ่ง เป็นวันก่อนที่เรากำลังจะจบม.3 อีกในอีกแค่ไม่ถึงอาทิตย์ ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า
วันนั้นเป็นวันพฤหัสประมาณช่วงบ่ายแก่ๆ เราและเพื่อนๆในกลุ่มกำลังจะไปเปลี่ยนจากรองเท้านักเรียน เป็นรองเท้าสลิปเปอร์ และเราจำเป็นจะต้องเดินผ่านห้องดนตรีไทย และ ห้องอาหารของอาจารย์ ดูๆไปวันนั้นก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งเหมือนวันปกติตอนเดินผ่านแรกๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเดินมาถึงห้องอาหารของอาจารย์ ซึ่งข้างหลังของห้องอาหารอาจารย์นั้น เป็นตึกนอนเก่า โดยจะมีบันไดเดินขึ้นไปชั้น2 ซึ้งหน้าห้องนั้นจะมีประตูที่ใส่กุญแจอันใหญ่ไว้ กุญแจอันนั้นเป็นกุญแจโบราณเหมือนล็อกมานานแล้วและไม่เคยเปิดมันออก ปกติแล้วห้องตรงนี้ ตั้งแต่ที่เราเข้าเรียนโรงเรียนนี้มา เราไม่เคยเห็นว่าถูกเปิด หรือ ถูกปลดกุญแจโบราณออกเลยสักครั้ง
แต่วันนั้นคงเป็นวันดีคืนดีสำหรับเราค่ะ พอเรากับเพื่อนเดินผ่านไป แม่กุญแจโบราณที่เป็นสนิมเกาะอยู่ก็หลุดตกลงมาที่พื้น ทันใดนั้นเอง ประตูก็ค่อยๆแง้มออกเหมือนคนค่อยๆเปิด ทั้งๆที่ไม่มีใครไปเปิดมันนะคะ ด้วยความที่พวกเรายังเด็กจึงมีความ อยากรู้อยากเห็น เรากับเพื่อนๆ เลยเห็นว่าโอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย จึงปรึกษากันว่าจะรีบไปเปลี่ยนสลิปเปอร์ก่อน และกลับเข้าไปดูกันว่าข้างบนนั้นเป็นยังไง
หลังจากที่เราและเพื่อนๆไปเปลี่ยนสลิปเปอร์เสร็จก็ได้ตกลงกันแบ่งเป็นกลุ่มๆค่ะ โดยเราแบ่งออกมาได้3กลุ่มที่ขึ้นไปสำรวจ ล่า ท้า ผี กับ เหมือนเล่นเกมพิสูจน์ความกล้าของพวกเราเอง จริงๆตอนแรกเราทุกคนจะขึ้นกันไปทั้งกลุ่มแต่บอกตามตรงว่า พื้นมันแลดูเหมือนจะผุพัง และเดินแค่ก้าวเข้าไปก้าวเดียวเท่านั้น ก็มีเสียง แอ๊ดดดดดด…….บนพื้นไม้ ทำให้พวกเราตัดสินใจว่า ค่อยๆขึ้นกันไปทีละเล็กละน้อย กลุ่มละ 3-5 คนดีกว่า และแล้ว ตัวเราเองก็ไม่ได้ขึ้นเป็นกลุ่มแรกค่ะ เพราะว่าเรากลัวววว
เอาจริงๆนะคะ ตอนนั้นใจยังไม่กล้าพอ เลยดันๆเพื่อนขึ้นไปก่อน และเราจะตามขึ้นไป พอกลุ่มแรกขึ้นไปก็มีลมโชยๆ ผ่านลอดประตูนั้น (ประตูนั้นพอเปิดออกปุ๊ป ก็จะเจอบันไดขึ้นไปเลยค่ะ) เราและเพื่อนๆเราที่เหลือก็รอดูสถานการณ์ข้างล่างก่อน และแล้วลมที่โชยมาก็ได้กลิ่นที่มันมาพร้อมกับกลิ่นอับๆ และ กลิ่นคาวๆของเลือดจางๆ จำได้แม่นที่สุดเลยค่ะ เราและเพื่อนๆของเราต่างขนลุกขนพองกันไปตามๆกัน พอกลุ่มแรกขึ้นไป สักพักก็มีเสียงกรี๊ดลงมาทำให้พวกเราต่างตกใจและตื่นตระหนก และตกลงว่าจะเอาไงดีกันต่อวะ ขึ้นไปไม๊ โดยพวกเราข้างล่างที่กำลังลังเลกึ่งๆกล้าๆกลัวๆกันอยู่ ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจทำอะไรต่อ พวกที่เข้าไปกลุ่มแรกก็ลงมา เราทุกคนก็เกิดคำถามต่างๆนานา ว่าเป็นไง อะไร เกิดอะไร กรี๊ดทำไม
เราได้คำตอบจากเพื่อนที่อยู่อีกฝั่งตะโกนว่า เห้ย….ไก่บินได้ ไก่บินมาจากอีกตึก ข้ามไปที่ชั้น 2 แต่ว่าพวกกลุ่มแรกที่ขึ้นไปก็งงกันค่ะ เขาบอกว่ากลิ่นเลือดจางๆ คือกลิ่นไก่ที่ แห้งตายแล้ว มีแต่กระดูกและเศษขนไก่บางๆที่ไม่เต็มตัว เอาแล้วไง พอกลุ่มแรกขึ้นไปทำให้เราหวั่นๆแล้ว จะขึ้นไปดีไม๊ แต่ก็โดนเพื่อนบอกว่า ไม่ขึ้นถือว่าปอดแหก ด้วยความไม่ชอบให้ใครดูถูก…เราเลยป่ะ ขึ้นไปให้เห็นกับตาเลยดีกว่า
สรุปว่าเราและเพื่อนๆเราซึ่งเป็นกลุ่มที่2 ได้เดินขึ้นไป ระหว่างที่เราก้าวเท้าขึ้นบันไดทีละก้าว ทีละก้าว ก็จะได้ยินเสียงดัง เอี๊ยดดด….อ๊าดดดด….ตามมาพร้อมกับจังหวะเท้าที่เราก้าวไปบนบันได พอเราเดินขึ้นไปสุดทางบันไดจะเจอทางสามแยก ให้เลือกเลี้ยวไหนดี ระหว่าง ซ้ายหรือขวา พวกเราตกลงเลี้ยวขวากัน เพราะว่าทางซ้ายมือแลดูไม่ไกลและมีห้องแค่ห้องเดียว แต่ทางด้านขวามีเป็นสิบๆห้องค่ะ พวกเราเลยเลือกจะเดินก้าวไปทางขวากัน
พอเลี้ยวขวาไปปั๊ป เราเองก็ผงะกับห้องที่เป็นกรง งงกันทีเดียวว่าทำไม๊……ทำไมนะ ต้องเป็นห้องลูกกรงเหมือนห้องขังด้วยนะ ใจก็ตุ้มๆต่อมๆ เอาแล้วไง จะก้าวขาก็ไม่ค่อยกล้าก้าวเท่าไร เราจึงค่อยๆเดิน ค่อยๆก้าวกันไป ผ่านไปทีละห้อง สองห้อง จนถึงห้องที่สาม เห็นกระจกบานใหญ่ติดอยู่กับผนังห้อง ตรงกลางเด่นชัด และฝั่งตรงข้ามนั้นก็มีรูปผู้หญิงโบราณคนหนึ่ง สวยมากกกก เรายืนสะดุด เหมือนโดนมนต์สะกดนิ่งให้มองรูปภาพนั้นระหว่างเรากับเอ เพื่อนอีกคนหนึ่งที่ไปด้วยกัน เรากับเอยืนมองภาพผู้หญิงผ่านกระจกสักครู่ และเพื่อนเราอีก2คนตะโกนเรียกให้พวกเราเดินไปต่อ
บี : พวกแกยืนดูอะไรอยู่ รีบมาเร็ว
เรา : เคๆ กำลังจะไปแล้ว เหมือนตัวเองหลุดจากความฝันได้สักพัก และเรากับเอก็รีบเดินไป เพื่อไปดูซากไก่ที่กลุ่มแรกบอกมา และก็หยุดวิจารณ์กันว่า คงจะตายได้มาเป็นปีแล้วมั๊ง แต่แล้วเอมันก็พูดขึ้นมาว่า
เอ : แก เมื่อกี๊มีคนตะโกนว่า ไก่บินไม่ใช่หรอ มันจะตายได้ไง
เรา : แต่ที่เห็นมันแห้งกรังไปหมดแล้ว ตายนานแล้ววว…..
จังหวะนั้นเหมือนทุกคนในกลุ่มเงียบกัน ไม่มีเสียงพูดคุยเหมือนทุกคนกำลังยืนไว้อาลัยให้ซากไก่ที่เห็น จากนั้นทุกคนก็ตัดสินใจกันว่าจะกลับกันแล้ว ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับไป เรากับเอก็ยังคงติดใจรูปผู้หญิงแสนสวยในกระจกไม่หาย พอเดินไปถึงหน้าห้องนั้นอีกรอบเรากับเอก็เลยหันไปมองในกระจก จำได้ว่า ตอนแรกที่พวกเราเห็นผู้หญิงคนนั้น ปากเค้าปิดสนิท ไม่มีรอยยิ้มสักมุมนึง แต่พอเรากับเอมองไปอีกรอบตอนจะกลับ พวกเรากลับเห็นเค้ายิ้มให้ และ ในกระจกนั้นมีเงาผู้หญิงเดินผ่านไปด้วย……เรากับเอเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า เท้าติดสปีดแล้ว วิ่งลงบันไดไม่คิดชีวิต ไม่กลัวด้วยว่าวิ่งแบบนั้นบันไดมันจะพังเอา ตอนนั้นคิดแค่ว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วเพื่อนอีกสองคนก็ตามลงมาเอง
กลุ่มที่ 3 พอเห็นพวกเราวิ่งกันลงมาบางคนก็กลัว บางคนก็อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น พอพวกเราลงมาก็ถามกันว่าเจออะไรมา ทำไมวิ่งหน้าตาตื่นๆ เรากับเอก็เล่าในสิ่งที่เราพวกเห็นให้ฟัง บางคนก็บอกให้พอเถอะ กลับเถอะ แต่บางคนก็อยากขึ้นไปดูด้วยตาตัวเอง แต่สุดท้ายพวกมันก็พากันขึ้นไปข้างบน เพราะกลุ่มแรกที่ลงมาก็เหมือนพยายามบิ้วตลอดว่าใครไม่ขึ้นถือว่าป๊อด
หลังจากกลุ่มที่สามได้เดินเข้าไปข้างในนั้น ก็เดินขึ้นไปปกติค่ะ ไม่มีอะไรให้น่าสงสัย พวกนางเองยังคงลัลล๊ากับการล่าท้าผี แต่พวกเราที่อยู่ข้างล่างสิคะ หลอนกันอยู่เลยพอกลับลงมาข้างล่างได้ เรากับเอ ก็พูดถึงเรื่องที่พวกเราเห็นให้คนอื่นๆฟัง และแล้วลมเย็นๆ แปลกๆก็พัดเข้ามาที่ขาพวกเรา ทุกคนต่างก็รอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น สักพักพวกกลุ่มที่ 3 ก็ตะโกนมาว่าไหนไก่ที่ว่ากัน ไม่เห็นเจอไก่หรือซากไก่ที่ไหนเลย???
เราทุกคนข้างล่างก็แปลกใจและพูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “อ้าว ไก่หายไปไหน” พวกกลุ่มที่ 3 เล่ากันว่ากำลังจะเดินไปถึงห้องที่สามแต่ปรากฏว่าเดินเข้าไปไม่ได้ เพื่อนๆคนอื่นๆที่ได้ยินเรากับเอเล่าถึงในห้องที่มีผู้หญิงแสนสวยอยู่ตรงข้ามกระจกนั้นต่างก็สงสัยและงงๆกัน เพราะตอนนี้ห้องนั้นมีไยแมงมุมกั้นตรงทางที่จะเข้าไป เป็นใยแมงมุมที่กั้นหนามาก ไม่มีใครกล้าแหวก แล้วพวกกลุ่มที่ 3ก็เดินกลับลงมาแบบมึนๆงงๆ ปนหลอนๆเล็กน้อย แต่ว่า ซี เพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ 3ก็เล่าว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ตรงทางริมสุดของทางเดิน เป็นผู้หญิงแต่งชุดไทย แต่เพื่อนๆในกลุ่มที่เหลือไม่มีใครเห็น แต่ทุกคนพูดเหมือนกันว่า เห็น ซี มันยืนมองอยู่อย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่เห็นว่าซีมันกำลังมองอะไรอยู่
พอกลับลงมาได้ทั้งหมด หลังจากนั้นพวกเราก็คุยกัน และได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในรุ่นของเราค่ะ หลังจากเวลานั้น เราทุกคนก็ไปทานอาหารเย็นกันที่โรงอาหารของโรงเรียน และไปอาบน้ำกันต่อ
เรื่องก็ยังไม่หยุดแค่นั้นค่ะ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเราก็จะต้องมากินผลไม้ก่อนเรียนภาคค่ำกันค่ะ แต่ระหว่างที่ทานอยู่นั้น เรากับเพื่อนๆในกลุ่มก็ได้คุยกันถึงเรื่องลี้ลับที่เคยได้ยินมากับสิ่งที่เกิดขึ้นที่พวกเราเห็นเมื่อตอนเย็นๆ
และ เราก็พูดถึงผู้หญิงคนนั้นที่เราเห็นกับเอ ซึ่งเอก็พูดว่า เค้าสวยเนอะ แต่ทำไมมันดูหลอนๆ สักพักยังพูดไม่ทันจบ ฟ้าก็ร้องดังเปรี้ยงงงง….และแล้วไฟดับพรึ่บบบบ…… เรากับเพื่อนก็ตกใจร้องกรี๊ด พอสักพักไฟมา เราเห็นเอหน้าซีด และบอกว่า แกชั้นเห็นผู้หญิงคนนั้น ตรงเสาธง เห็นเค้ายิ้มให้ ใส่ชุดเดิมที่เราเห็นเมื่อเย็นเลย แล้วเอมันก็ร้องไห้ค่ะ พวกเราทุกคนก็ช่วยกันปลอบ พอสักพักก็ถึงเวลาเข้าเรียนพวกเราก็เรียนกันตามปกติ แต่มีเอกับเพื่อนอีกคนสองคนที่ยังเรียนไปกลัวไป จนถึงเวลาเข้านอน ต่างคนก็ต่างกราบหมอนไหว้พระก่อนนอน ขอพรให้หลับฝันดี ซึ่งเราเองก็สวดมนต์ไหว้พระด้วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่จะทำให้เราจำโดยไม่มีวันลืมกำลังจะเกิดขึ้น
คืนนั้นหลังจากที่เราทุกๆคนเข้านอนแล้ว ประมาณช่วงตี1-2 ได้ เพื่อนเราคนหนึ่งก็เรียกเราไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย แต่ว่าเราขี้เกียจลุกค่ะ และคิดว่าห้องน้ำอยู่ใกล้มาก เดินไปประมาน 15 ก้าวก็ถึงแล้ว ประมานว่า กูจะนอนต่อ อยากไปก็ไปคนเดียวเลย
สักพัก เราก็นอนแบบไม่สนใจ จนมันไปฉี่และกลับมา เราก็หันไปบอกมันว่า กูปวดฉี่อ่ะ ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนที มันก็ด่าใหญ่เลยค่ะ ประมานว่า กูชวนไม่ไป แล้วเมิงจะมาชวนกูทำไม๊!!! และในเมื่อมันไม่ยอมไปเป็นเพื่อน เราก็ไปคนเดียวก็ได้วะ
ระหว่างเดินไปเข้าห้องน้ำเรารู้สึกว่าระหว่างทางนั้นมันมืดมากแต่ก็คลำทางไปได้อย่างถูกต้อง เราเดินไปเปิดไฟห้องน้ำตรงมุมห้อง และบีเพื่อนเราอีกคนหนึ่งที่นอนติดตรงใกล้ๆห้องน้ำ มันก็ถามว่าเป็นเราหรอ เราก็อือๆ และเราก็เข้าห้องน้ำไป กำลังถอดกางเกง สักพักไฟก็ดับ เราก็ตะโกนไปบอกเพื่อนว่า แกจะปิดไฟทำไม กูจะฉี่ ฉี่ไม่ออกกันพอดี
แล้วเราก็เปิดประตูเอื้อมมือไปเปิดไฟ สักพัก พอถอดกางเกงรอบสอง ไฟก็ดับอีก เราก็ไม่ได้แปลกใจไรมาก คิดว่าเพื่อนแกล้ง เราเลยด่าเพื่อนไป แต่บีมันก็บอกว่ามันไม่ได้ทำ ไอ้เราก็ไม่เชื่อ พอรอบที่สามเท่านั้น ไฟมันก็ปิดอีก เราก็เริ่มหัวเสียก็ฉี่ท่ามกลางความมืดให้เสร็จๆไป พอเสร็จธุระของเราแล้ว เราก็ออกมาด่ามัน มันบอกว่ามันไม่ได้ทำแต่มันเห็นเหมือนมีใครก็ไม่รู้มาปิดแต่มันไม่ได้ถามนะว่าเป็นใคร
สักพักเราก็เดินกำลังจะกลับไปนอน ตรงข้ามทางที่เรากำลังเดิน เราเห็นผู้หญิงสวยๆคนนั้นที่เราเจอเมื่อตอนเย็น แต่ว่าคราวนี้เธอไม่ได้อยู่ในกระจก หรือ เป็นเพียงภาพบนฝาผนังแล้ว แต่มาแบบตัวเป็นๆให้เราเห็นเลย เราก็ยืนอึ้งแบบตกใจมาก มากจนขาแข็งติดพื้น ก้าวไม่ออก พอเริ่มได้สติ ในใจก็ท่องแต่ พุทโธ พุทโธ แล้วกัดฟันวิ่งอย่างเต็มที่จนมาถึงห้อง ซึ่งเตียงเราเป็นเตียงสองชั้นและเรานอนอยู่ชั้นที่สอง เชื่อไมคะว่าเราไม่ปีนบันไดขึ้นแล้ว แต่แบบกระโดดขึ้นไปเลย พอ ขึ้นเตียงแล้ว ก็รีบเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเพื่อนเราข้างๆสะกิด ถามว่าเป็นอะไร
แต่เรายังไม่ทันได้ตอบ เพื่อนคนนั้นก็เหลือบสายตาไปตรงปลายเตียงของเรา เพื่อนก็เห็นผู้หญิงคนนั้นลอยขึ้นมาตรงปลายเท้าเรา มันก็รีบดึงผ้าห่มคลุมโปงตาม เราเลยหันไปพยามกึ่งพูด หรือ ตะโกนเบาๆก็ไม่รู้ว่า กูขอไปนอนเตียงเมิงด้วยสิ กูกลัว ซึ่งมันก็กลัวเหมือนกัน มันก็เลยบอกเราว่า สวดมนต์ สิ
เรากับเพื่อนเลยก้มหน้าก้มตาสวดมนต์โดยหลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตาขึ้นดู พอสวดไปได้สักพัก คราวนี้ผ้าห่มที่เราคลุมมิดหัวเรา ก็ค่อยๆเลื่อนลงมาเองอย่างช้าๆ เหมือนในหนังผีไม่มีผิด เราพอรู้สึกแบบนั้นก็กระโดดไปเตียงเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนมันก็ให้มานอนเบียดๆกัน ตอนนั้นถึงเตียงจะแคบ แต่เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน และแล้วเรากับเพื่อนที่นอนด้วยกันก็เหมือนโดนผีอำ ทั้งๆที่ลืมตา เราเห็นว่าเธอเอาเท้าทับเราทั้งสองคนเอาไว้ แล้วพูดว่า ให้เห็นรอบเดียวไม่ชอบ ชอบลองของดีนัก ตอนนั้นเรากับเพื่อนเริ่มน้ำตาไหล ปากก็พร่ำบอกว่าขอโทษแล้วจะทำบุญไปให้ ขอร้องนะคะ ปล่อยหนูสองคนไปเถอะ เราสองคนก็พูดไปสักพักเธอก็หายไป แต่ก็ยังมีทิ้งท้ายให้ในความฝัน ซึ่งในความฝันที่เราฝัน เป็นภาพเมื่อตอนบ่ายที่เราทำกิจกรรมล่าท้าผีกับเพื่อน แต่ที่จำได้แม่นเลยก็คือ ในฝันนั้นเธอบอกกับเราว่า “ภายในเจ็ดวัน ถ้าไม่ทำบุญให้เธอจะเอาเราไปอยู่เป็นเพื่อน”
พอวันศุกร์เราก็ได้กลับบ้าน และทำกับข้าวกับแม่เลย เลยบอกแม่ว่า เราจะทำบุญให้เยอะๆ เราเลยจัด ทั้งใส่บาตร ทั้งถวายสังฆทาน กรวดน้ำ ทำทุกอย่างที่พอจะทำได้ และแล้วก็เครียดพร้อมกับลุ้นว่าครบ 7 วันแล้ว เราจะยังรอดอยู่ไหม สรุป รอดค่ะ เราไม่ตาย แต่เพื่อนตัวดีสิคะ มันไม่ยอมจบ มันบอกว่ามันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
วันเสาร์เพื่อนมันก็โทรนัดกันว่าวันอาทิตย์นี้จะขึ้นไปที่ตึกนั้นอีก ไอ้เราก็คิดว่าทำบุญให้แล้วคงไม่มีไรแล้ว เลยตบปากรับคำอย่างเป็นหมั้นเป็นเหมาะไปค่ะ ว่า จะไปอีกรอบ คราวนี้เพื่อนจัดเต็ม เอากล้องวีดีโอ และไมค์จิ๋วไปด้วย และแล้วพอวันอาทิตย์ตอน 6 โมงเย็นซึ่งเป็นช่วงที่พวกเรานัดกันไว้ก็มาถึง
พวกเราก็ขึ้นไปกันอีกรอบ แต่เวลาที่เรานัดกันคราวนี้มันเย็นกว่าครั้งก่อนมาก เวลานั้นเป็นช่วงโพล้เพล้แล้ว ไฟในกล้องวิดีโอจึงไม่ค่อยจ้ามาก เพื่อนมันก็ถ่ายๆอัดๆไปเรื่อยๆ เราก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกัก อยู่บนฝ้า ตอนนั้นในใจนึกถึงหนังเรื่องผีช่องแอร์เลยค่ะ คือหัวมันคิดไปเอง เราก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะ เพราะยิ่งผ่านการเห็นผู้หญิงคนนั้นมากับตาด้วยแล้ว มันก็อดคิดไม่ได้ และเสียงนั้นก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่อึดใจเดียวก็เห็นหนูกระโดดลงมาจากช่องฝ้า ตอนนั้นเราแทบกรี๊ด แบบไม่ได้กลัวหนูนะคะ แต่กลัวว่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า ตอนนั้นตกใจเหมือนน้ำตากำลังจะไหล ไอ้เพื่อนเราก็อัดวิดีโอไปเรื่อยๆไปจนไปถึงไยแมงมุมหน้าห้องๆนั้น
สักพักเหมือนกล้องโดนสปอร์ตไลท์ฉายเข้ามาเลยค่ะ มองไม่ออกว่าเป็นอะไร เราเลยเดินกลับไปตรงทางเดินแต่เพื่อนเราก็ยังถือกล้องและอัดคลิปอยู่ จากนั้นพวกเราก็เดินไปเรื่อยๆไปถ่ายจนถึงห้องขังคุกเก่า ซึ่งห้องนี้เคยเป็นห้องทรมานนักโทษญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกค่ะ เคยได้ยินรุ่นพี่เล่ากันมาแบบนั้น เพราะอย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกๆว่าโรงเรียนเราตั้งมาเป็นร้อยกว่าปีแล้วค่ะ เพื่อนเราก็ถ่ายในห้องที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรมากมาย ปรากฏว่าวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราทั้งหมดก็กลับกันลงมา
เรากับเพื่อนตกลงกันว่า จะเปิดดูคลิปกันในวันจันทร์ว่าจะเอาต่อกับทีวีของโรงเรียนให้เพื่อนในห้องเราดูไปพร้อมๆกันค่ะ และพอถึงวันจันทร์ เรากับเพื่อนอาบน้ำกินข้าวเย็นเสร็จ ก็มาห้องโถงเล็กเพื่อเอากล้องมาต่อกับทีวี ตอนแรกดูๆกันก็ขำ มีเสียงวี๊ดว้าย ล้อเลียน นู่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย จนถึงตอนแสงจ้า กล้องไปจับที่ซากไก่ เหมือนซากไก่มันย้ายที่เองได้ แต่เรากับเพื่อนๆจำได้ว่าตอนที่อยู่ตรงนั้นซากก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายไปไหน และเมื่อถึงห้องขัง เรากับเพื่อนๆทุกๆคนก็เห็นชัดมากว่า มีผู้ชาย พยามกระชากลูกกรง เอามือจะจับกล้อง ตะโกนเรียกพวกเรา แต่ตอนที่เราไปถ่ายกันกลับไม่มีอะไรเลยนะคะ พอตัดภาพผู้ชายปุ๊ป ไฟดับทั้งตึก กลิ่นธูปคละคลุ้ง เอาเป็นว่า คราวนี้พอแล้ว เรากับเพื่อนก็เลยต้องไปขอขมาเค้าที่ตึกกันอีกรอบค่ะ และแล้วไม่กล้าลองดีอีกเลย เพราะกลัวว่ามันจะหนักกว่าคราวที่แล้ว