เคยเชื่อเรื่องวิญญาณมีห่วงไหมคะ ว่ากันว่าวิญญาณที่มีห่วงบางอย่าง ก็มักจะวนเวียนอยู่แถวๆกับคนหรือสิ่งของที่เขาห่วง บางครั้งก็จะมีคนเห็นหรือได้ยินเสียงร้องอันน่าสงสารของวิญญาณเหล่านั้น ที่รอคอยใครสักคนมาปลดปล่อย และเรื่องที่เราจะมาเล่าให้ทุกคนฟังกันในวันนี้ เป็นเรื่องรางของคุณนก ที่มาแชร์ให้เราฟังถึงประสบการณ์ช่วงหนึ่งของเธอตอนที่อยู่บ้านยายบนที่ราบเขาทางภาคเหนือ ซึ่งคุณนกได้เล่าว่า
วันหนึ่งหลังจากที่ฉันตกงานและเงินที่มีอยู่กำลังจะหมดไป ฉันจึงเดินทางกลับไปที่บ้านของคุณยายที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากออกบ้านไปทำงาน 5 ปีมาแล้วที่ฉันไม่เคยกลับบ้านมาเยี่ยมคุณยายเลยซึ่งฉันทำเพียงแค่โทรหาและส่งเงินมาให้คุณยายใช้บ้างก็เท่านั้นเพราะฉันคิดว่า หมู่บ้านที่ยายอยู่มันกันดารและไม่ทันสมัยเอาเสียเลย
แต่วันนี้ฉันก็ต้องกลับมา เพราะไม่มีที่ไปอย่างน้อยๆได้กลับมาอยู่กับยายก็ยังมีที่พึงและคิดถึงกับข้าวของยายด้วย ตอนที่ฉันเดินทางมาถึงบ้านยายก็เกือบจะเย็นมากแล้ว หมู่บ้านที่ฉันเติบโตมาแห่งนี้ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาเดินทางยากลำบาก รอบๆหมู่บ้านจะเป็นป่าทึบ มีแม่น้ำจากบนเขาไหลลงมาให้ใช้ไม่ขาดสาย เมื่อฉันมาถึง ยายดีใจมากเราสองคนก็กอดกันสักพักให้หายคิดถึง แล้วก็กะจะเข้าไปพักนอนเอาแรงสักงีบก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำ เพราะรู้สึกว่าเหนื่อยและง่วงมาก
แต่ยายกลับบอกว่า นี่ก็เย็นมากแล้วไปอาบน้ำเสียก่อน แล้วค่อยมากนอนพักเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วก็จะได้มากินข้าวกัน และด้วยความที่ฉันเองก็ไม่อยากขัดใจยายตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ก็เลยหิ้วผ้าขนหนูไปอาบน้ำด้วยอารมณ์ที่หัวเสียนิดหน่อย ฉันถือผ้าขนหนูเดินไปอาบน้ำที่หลังบ้าน ห้องน้ำบ้านยายอยู่ห่างจากตัวบ้านราวๆ 3 เมตร ถือว่าไกลนะถ้าเทียบกับห้องน้ำในห้องเช่าของฉันที่กรุงเทพ และข้างๆห้องน้ำเองก็มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่ว ตอนบ่ายๆที่นี่คงเย็นสบายมาก แต่ค่ำๆแบบนี้มันดูวังเวงยังไงพิกล ซึ่งฉันเหลียวมองต้นไม้ใหญ่ๆนั้นได้พักเดียวก็เดินไปอาบน้ำ
ฉันค่อยๆตักน้ำอาบทีละขัน แต่ด้วยความรู้สึกกลัวแปลกๆที่ผ่านเข้ามาฉันก็เลยฮำเพลงไปด้วยเพื่อบรรเทาความกลัวที่มี และฉันคิดว่าน่าจะทำธุระส่วนตัวให้เสร็จไปด้วยเลยดีกว่าเพราะคิดว่า ถ้าเกิดปวดฉี่หรือปวดอึขึ้นมาตอนกลางดึกด้วยนี่คงออกมาเองไม่ได้แน่ๆ พออาบน้ำและทำธุระส่วนตัวเสร็จตอนที่กำลังจะพันผ้าเช็ดตัว ก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นจนฉันสะดุ้ง เสียงนั้นอยู่ใกล้มาก เดาเอาว่าน่าจะมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆห้องน้ำเนี่ยแหละ เอายังไงดีฉันเริ่มกลัวมากขึ้นกว่าเดิมแล้วสิ
จังหวะนั้นฉันก็ได้ยินเสียงคุณยายร้องเรียกซึ่งคุณยายบอกว่ารอฉันอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ตอนนั้นรู้สึกโล่งใจมากเหมือนฟ้ามาโปรดกันเลยทีเดียว ฉันไม่รอช้า รีบเปิดประตูห้องน้ำและเดินตามยายเข้าบ้านไป หลังจากขึ้นบ้านแล้วฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมากินข้าวกับยาย ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้กินอะไรอร่อยๆแบบนี้มานานแล้ว ฉันกับยายนั่งกินข้าวและคุยกันอย่างสนุกสนานจนเวลาผ่านไปประมาณ 2 ทุ่ม
ปกติ 2 ทุ่มที่กรุงเทพยังไม่ถือว่าดึกเลย แต่ 2 ทุ่มของที่นี่เงียบสงัด เงียบมากจนน่ากลัว ทั้งๆที่บ้านข้างๆก็อยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึง 5 เมตร และบ้านยายเองก็ไม่ได้อยู่กลางป่าแค่บ้านเดียวสักหน่อยแต่ทำไมมันดูวังเวงนักก็ไม่รู้
สักพักยายก็บอกให้ฉันรีบเข้านอนได้แล้ว เดินทางมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน และด้วยความที่เหนื่อยและง่วงมากฉันจึงเข้านอนตามที่ยายบอกทันที ห้องนอนที่บ้านยายมีห้องเดียว แต่แยก 2 มุ้ง ฉันนอนหนึ่งมุ้งอยู่ใกล้ๆกันกับมุ้งของยายนั่นแหละ ตกดึกฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ร้องเสียงดังมาก ฉันได้ยินเสียงแค่ครั้งเดียวและสะดุ้งตื่น จึงไม่ค่อยแน่ใจว่าฉันได้ยินเสียงนั้นจริงๆหรือว่าฉันฝันกันแน่ เพราะหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรต่ออีกเลย จะได้ยินก็เพียงแค่เสียงของใบไม้ที่เสียดสีกันตามลมที่ปลิวและได้ยินเสียงนกกระพือปีก ซึ่งค่อนข้างดังมาก
ฉันนึกในใจว่านกที่บินอยู่คงจะตัวใหญ่มากแน่ๆจากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจและหลับต่อ แต่พอหลับไปได้สักพักฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับจนตัวฉันขยับไม่ได้ ฉันพยายามร้องเรียกยายแต่เหมือนยายไม่ได้ยิน ตอนนั้นฉันพยายามอยู่นานมาก มากจนเหนื่อยและเหงื่อท่วม สักพักยายก็เข้ามาปลุกฉันให้ตื่นและถามว่าฝันร้ายเหรอ ฉันก็บอกยายไปว่า เหมือนมีอะไรมาทับหนักมากขยับตัวไม่ได้จะร้องก็ร้องไม่ออก ยายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่เรียกฉันให้เข้าไปนอนด้วยกันกับยาย
ตื่นเช้ามาฉันก็เห็นยายเอาสะตวงกับเครื่องเซ่นบางอย่างไปห้อยไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกับห้องน้ำ (ซึ่งสะตวงเป็นที่ใส่เครื่องเซ่นของคนภาคเหนือ ทำจากกาบของต้นกล้วยเอามาทำเป็นสี่เหลี่ยมและใส่อาหารหรือของเซ่นลงไปข้างใน) ฉันเห็นยายทำแบบนั้นก็แปลกใจและยังไม่ทันได้ถามอะไร น้าสาวก็เข้ามาหาพร้อมกับหลานสาวตัวน้อยๆอายุราวๆ 5 ขวบ น้ากับฉันอายุห่างกันไม่มากทำให้เราพูดคุยกันถูกคอ น้าจึงได้ชวนฉันให้ไปนอนค้างที่บ้านของน้าที่อยู่ห่างออกไปอีก 2 ซอย เพื่อพูดคุยกันต่อ ฉันจึงเดินไปบอกยายว่าวันนี้จะไปนอนค้างที่บ้านน้า ซึ่งหลังจากที่บอก ยายก็มีสีหน้าตกใจและเป็นกังวลแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ฉันเลยตามน้าไปที่บ้านของเขาและคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน
แต่เวลาประมาณเกือบๆสองทุ่มยายก็มาตามฉันที่บ้านน้า แต่ฉันก็บอกกับยายว่า วันนี้จะนอนค้างที่นี่แต่ยายพยายามที่จะให้ฉันกลับให้ได้ ซึ่งตอนแรกฉันก็กะจะปฏิเสธแต่สีหน้ายายดูกังวลมาก ฉันรู้สึกแปลกใจแต่ก็ยอมตามยายกลับบ้านไป พอกลับถึงบ้านยายก็ปิดประตูหน้าต่างทำเหมือนกับที่ทำเมื่อวาน แล้วเรียกฉันมานั่งใกล้ๆ และเล่าเรื่องน่ากลัวเรื่องหนึ่งให้ฉันฟัง
ยายเล่าว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วมีหมอผีคนหนึ่งถูกทำร้ายมาจากต่างถิ่น เข้ามาพักอยู่ที่บ้านร้างท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านใกล้เคียงจะได้ยินเสียงหมอผีร้องโหยหวนและตะโกนไล่เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ไม่นานนักหมอผีคนนั้นก็ตายแต่หลังจากที่เขาตายไปก็พบว่า มีนกเค้าแมวตัวใหญ่บินออกมาทุกคืนและร้องเสียงดังโหยหวน ถ้าวันไหนมีคนต่างถิ่นเข้ามาในหมูบ้าน หากเจ้าของบ้านไม่ทำเครื่องเซ่นบอกเกล่า ตกกลางคืนนกตัวนั้นก็จะมาหลอกหลอนให้คนๆนั้นตกใจกลัวอย่างสุดขีด
ซึ่งยายก็ได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า ก่อนหน้านี้มีลูกหลานบ้านอื่นๆกลับมาก็พากันถูกหลอกทุกราย ยายก็เลยกลัวว่าหากฉันไปนอนที่บ้านน้ากลัวว่าน้าจะปกป้องฉันไม่ได้ ยายจึงไปตามฉันกลับมา
พอได้ยินเรื่องที่ยายเล่าแล้วฉันก็กลัวมาก และก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ถึงเสียงบางอย่างที่ฉันได้ยินตอนที่กำลังอาบน้ำ และเสียงร้องที่ดังมากจนทำให้ฉันตกใจตื่นในตอนกลางคืน ซึ่งฉันเพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นเสียงจริงๆที่ฉันได้ยินจริงๆไม่ได้ฝันไป ซึ่งคืนนั้นฉันกลัวมากจึงเข้าไปนอนแนบกับยาย ซึ่งยายก็บอกต่อไปว่า ตอนที่ฉันมายายได้ไปบอกกล่าวเขาเอาไว้แล้วนะ ซึ่งที่เขามาให้ได้ยินเสียงก็อาจจะมาดูว่า มีใครเข้ามาใหม่มากกว่า เขาคงไม่ทำอะไรหรอก
หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านของยาย ฉันก็ต้องได้ยินเสียงร้องนั้นแทบทุกคืนในช่วงประมาณ ตี 1-ตี2 ซึ่งมันหลอนมาก เพราะยิ่งดึกที่นี่ก็ยิ่งเงียบ เสียงนั้นก็เลยดังชัดเจน ฉันเองก็สะดุ้งตื่นและกลัวทุกครั้งที่ได้ยิน บางวันก็ได้ยินเสียงหัวเราะอยู่บนหลังคาบ้าน ยายบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก ยังไงเขาก็เข้ามาในบ้านเราไม่ได้ เขาแค่อยากได้เครื่องเซ่นหรือส่วนบุญเท่านั้น พรุ่งนี้เช้ายายก็เลยชวนฉันไปทำบุญที่วัด ซึ่งพระที่วัดเองก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยหลวงลุงก็บอกฉันว่า ไม่ต้องห่วงหรือกังวลนะ เขาเป็นคนที่น่าสงสาร ตายไปเพราะโดนคนไล่ล่า จึงไปอยู่ในร่างขอกนกเค้าแมวและที่ไม่ยอมไปไหน เพราะเขามีห่วงบางอย่างเกี่ยวข้องกับของของเขานั่นแหละ หากเขาหมดห่วงเมื่อไรเขาก็จะไปเอง ตอนกลางคืนก็ให้เราอยู่แต่ในบ้านแค่นั้นก็พอ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือนแล้วที่ฉันอยู่ที่นี่กับยาย เวลานอนตอนกลางคืนก็มักจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเจ้านกเค้าแมวตัวนั้นทุกคืน ถึงจะชินมาบ้างแต่ก็ยังกลัวอยู่ตลอดและนึกในใจว่า ขอให้เขาหมดห่วงและไปเกิดเร็วๆฉันจะได้ไม่ต้องกลัวและนั่งหลอนแบบนี้อีกต่อไป แต่มันคงจะเป็นได้แค่ความหวังเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครอยากตามไปสืบเสาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหมอผีคนนั้นและช่วยปลดปล่อยเขาได้ คงต้องนอนผวาและฟังเสียงร้องแบบนี้ทุกคืน ซึ่งฉันก็ตั้งใจว่าหากยายไม่อยู่แล้ว ฉันจะย้ายออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด