มีใครเคยเจอประสบการณ์ขนหัวลุกหรือเคยเห็นใครถูกผีเข้ากันบ้างไหมคะ เรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของคุณอ้อย ซึ่งเธอบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ตรงของตัวเธอเอง ที่แรกๆเธอบอกว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อว่าเรื่องนี้มีจริงแต่พอเจอกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันทำให้เธอเปลี่ยนความเชื่อนั้นไปตลอดชีวิต โดยคุณอ้อยเล่าให้ฟังว่า
เหตุการณ์นี้ผ่านมาสามปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่รับรองว่าชาตินี้ทั้งชาติเราคงไม่มีวันลืมแน่นอน
ตอนนั้นเราอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 และเป็นเด็กกิจกรรมด้วยก็เลยมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนเอง หนึ่งในนั้นคือ “ปิ่น” ปิ่นเป็นคนที่ออกจะแปลกๆ ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าปิ่นออกจะเพี้ยนๆ ชอบทำอะไรแปลกๆ แต่สำหรับเรา ปิ่นเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง มีน้ำใจและน่าสงสารด้วย เพราะปิ่นเพิ่งสูญเสียพี่สาวสุดที่รักไปได้ไม่นาน
คือปิ่นมันมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งชื่อพี่ปู พี่ปูเป็นคนสวย ผิวพรรณดี แต่เหมือนควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ค่อยได้ และตอนที่พี่ปูเสีย พี่ปูก็อายุเข้าเบญจเพสพอดี
ปิ่นเล่าให้ฟังว่าพี่ปูเป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปหาหมอและต้องกินยาเป็นประจำ ห้ามหยุดเด็ดขาด
จริงๆแล้วเราเองก็เคยเจอพี่ปูหลายครั้ง เวลาไปเที่ยวที่บ้านปิ่น เราคิดว่าพี่เขาน่าจะเป็นโรคไบโพลาร์มากกว่าเพราะหลายครั้งที่เราเจอว่าพี่เขาอารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบสุดขั้ว คือเดี๋ยวก็เศร้า เครียด หดหู่ เดี๋ยวก็ร่าเริงสุดขีด นอกจากนั้นยังเป็นคนขี้ระแวงแบบไม่มีเหตุผล บางทีก็เดือดดาลพาลทะเลาะกับพ่อแม่อย่างรุนแรงแทบบ้านแตก
แต่ถึงอย่างนั้น พี่ปูก็ยังรักปิ่นมาก ไม่เคยทำร้ายหรือพูดจาอะไรให้ต้องเสียใจเลย!
อยู่มาวันหนึ่งเราก็ได้ข่าวว่า พี่ปูผูกคอตายในห้องนอนของตัวเองโดยไม่มีใครรู้ จนบ่ายแก่ๆ แม่ต้องให้คนในบ้านมาช่วยกันงัดประตูเข้าไปแล้วก็พบพี่ปูผูกคอตายอยู่ในตู้เสื้อผ้า ใบหน้าที่เคยสวยงามน่ารักกลับบวมพอง เขียวคล้ำ ดวงตาถลนออกมาและลิ้นสีดำจุกปากอย่างน่ากลัวที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากเสร็จงานศพของพี่ปู ปิ่นได้มาเล่าให้เรากับเพื่อน อีก 2-3 คนฟังว่า
“ตั้งแต่ฆ่าตัวตายไปวันนั้น พี่ปูก็สิงอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปกันไหมล่ะ ในห้องนั้นจะเย็นยะเยือก ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว และเราก็ไม่ได้เปิดแอร์ด้วย” “แม่นิมนต์พระมาทำบุญบ้านแล้ว แต่ปิ่นว่าวิญญาณพี่ปูยังไม่สงบ ถึงแม้ว่าพวกเราในบ้านจะไม่เคยถูกผีพี่ปูหลอก แต่คนที่อยู่ในซอยเขาลือกันให้แซดว่าเห็นพี่ปูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง”
เพื่อนทุกคนที่นั่งล้อมวงกันฟังอยู่ต่างมองหน้ากันเลิกลักและกลัว เพราะทุกคนที่เคยไปบ้านปิ่นก็ต้องเคยเจอกับพี่ปูมาก่อนทั้งนั้น แต่ด้วยความที่เราเองเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวเรื่องนี้เท่าไร เพราะเอาจริงๆแล้ว เราเองก็ยังไม่เคยเจอกับตัวเลยสักครั้ง จึงคิดว่าไม่น่าจะมีจริง หรือคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนอื่นๆกลัวเลยคิดและจินตนาการไปเองมากกว่า และคราวนี้ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลองดูว่าเรื่องที่เขากลัวๆกันนั้นมันจะมีจริงๆหรือเปล่า เราจึงบอกปิ่นไปว่าอยากลองไปดูที่ห้องนั้น ว่ามันจะเยือกเย็นอย่างประหลาดจริงอย่างที่ปิ่นโม้หรือเปล่า?
แล้ววันหนึ่งที่โรงเรียนเลิกตอนบ่ายเราเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี เราก็ไปที่บ้านของปิ่นกันโดยมีตัวเรากับเพื่อนอีก 4 คนไปด้วยกัน แต่ก็รู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนที่นั่งรถไปแล้ว เพราะระหว่างทางเรารู้สึกขนลุกแบบแปลกๆแต่ก็ไม่ได้บอกใคร พอถึงบ้านปิ่น เราก็ไปสวัสดีคุณแม่ที่กำลังเตรียมทำกับข้าว จากนั้นปิ่นบอกคุณแม่ว่าจะพาเพื่อนๆ ไปคุยบนห้อง
ห้องของปิ่นอยู่ติดกับห้องของพี่ปู และที่หน้าห้องพี่ปูก็มีผ้ายันต์ปิดไว้ ปิ่นบอกให้พวกเราเงียบๆ ตอนที่กำลังผลักประตูเข้าไป รู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ กลิ่นหอมเอียนๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้แห้งโชยวูบออกมา และเมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในห้อง เราทุกคนก็รู้สึกเย็นแปลกๆ จริงๆ ด้วย
ในช่วงที่ที่เพื่อนๆ คนอื่นๆกำลังซึมซับบรรยากาศความเสียวสยอง เราก็มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตรงมุมห้อง ร่างเธอผอมบาง ผิวมืดๆ เป็นสีม่วงคล้ำทั้งตัว สวมเสื้อยืด ผมยาวประบ่า ลอยวูบเข้ามาหา มายืนอยู่ข้างหลัง…
จังหวะนั้นเรารู้สึกช็อกเกร็ง ตัวแข็งทื่อ ในขณะที่ตกใจและช่วยตัวเองไม่ได้นั้น เราก็รู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรมารัดคอไว้แน่นจนหายใจไม่เข้า เราเลยเอามือตะกุยที่ลำคอ
ในความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ นั้น ได้ยินแว่วๆเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆที่เข้ามาด้วย ร้องวี้ดว้ายกันชุลมุน และตะโกนว่าผีเข้า…ผีเข้า! แม่ของปิ่นพอได้ยินเสียงเอะอะก็รีบวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดมากับแม่บ้าน
พอแม่มาถึงก็รีบประคองตัวเราที่ตัวแข็งและเกร็งเอาไว้และค่อยๆปลอบ โดยภายหลังเพื่อนๆได้เล่าให้เราฟังทีหลังว่า ตอนที่แม่มาประคองตัวเรานั้น ตอนนั้นเราเอาแต่ร้องไห้หนักมาก ซึ่งเหมือนไม่ใช่ตัวเราเลย เพื่อนก็เล่าอีกว่า ตอนนั้นเราร้องแบบคนหายใจไม่ออก และพร่ำขอโทษแม่ แถมเสียงที่ได้ยินก็ไม่ใช่เสียงของเราด้วย เพื่อนบอกว่า ตอนนั้นเราพูดอะไรกับแม่ของปิ่นหลายอย่างมาก หลังจากที่พูดกับแม่เสร็จเราก็หมดสติไป
เมื่อฟื้นอีกที ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้านปิ่น หลายๆคนคิดว่าเราถูกผีเข้า ซึ่งผีที่เข้าก็เป็นผีพี่ปู เพราะตอนที่คุยกับแม่นั้นเหมือนพี่ปูจะขอโทษแม่ในหลายๆเรื่องที่เคยทำลงไป และหลังจากที่ฉันถูกผีเข้าในวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นผีพี่ปูอีกเลย ห้องนอนเย็นๆที่ปิ่นเล่าก็ไม่เย็นอีกต่อไป เรากับปิ่นและเพื่อนๆที่ได้รู้เรื่องนี้คิดเอาเองว่าการที่พี่ปูได้พูดและระบายความในใจจนหมด อาจทำให้พี่เขาหายห่วงและไปสู่สุคติแล้วก็เป็นได้ เหมือนเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี สำหรับครอบครัวของปิ่นและคนใกล้ๆบ้าน จะมีก็แต่เราและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นที่ยังคงผวาไม่หาย และกลัวผีอย่างฝังจิตฝังใจไปชั่วชีวิต!