มีใครเคยนั่งรถเมล์ตอนดึกๆหรือรถเมล์เที่ยวสุดท้ายกันบ้างไหมคะ เวลาที่เรามีความจำเป็นจะต้องเดินทางในตอนกลางคืนกับรถเมล์เที่ยวสุดท้าย เพื่อนๆกล้าขึ้นกันไหมคะ และถ้าขึ้นไปแล้ว มีผู้โดยสารขึ้นมาใหม่แต่เราสังเกตเห็นว่าเขาไม่ใช่คน เพื่อนๆจะทำยังไงกันคะ ซึ่งเรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ก็เป็นเรื่องผีสุดหลอนจากประเทศจีน สู่คดีฆาตกรรมแปลกประหลาดที่ยังไขไม่ออก เราไปฟังพร้อมๆกันดีกว่าค่ะ ว่าเรื่องจะเป็นมายังไงบ้าง
เรื่องมีอยู่ว่า…ชายหนุ่มคนหนึ่งเผลออยู่เคลียร์งานที่บริษัทเพลินไปหน่อย และพอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาจึงรีบเก็บของแล้วเดินออกมาออฟฟิศ เพื่อไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ซึ่ง เวลานั้นเขาก็ได้แต่ภาวนาให้ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย
ตอนที่กำลังเดินทางไปที่ป้ายรถเมล์ เขาก็คิดในใจว่ามันออกจะน่าแปลกอยู่บ้างที่คืนนั้นท้องถนนเงียบเชียบไม่มีรถราสัญจรไปมา ทั้งๆที่ปกติเวลานี้ออกจะมีคนค่อนข้างหนาแน่น ถึงจะไม่มากเหมือนในเหมืองหลวงแต่ก็ไม่เงียบเหงาและวังเวงขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และยังคงเดินมาตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายรถเมล์ในที่สุด
ที่ป้ายรถเมล์แห่งนั้นก็เงียบและมีไฟสลัวๆ โชคดีอยู่หน่อยที่มีชายแก่คนหนึ่งนั่งรอรถอยู่เหมือนกัน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อยและไม่รู้สึกว่ามันเงียบเหงามากจนเกินไป
ในที่สุดรถเมล์เที่ยวสุดท้ายก็เข้ามาจอด ผู้โดยสารทั้งสองคนคือชายพนักงานบริษัท และชายแก่ก็ได้เดินขึ้นรถแล้วมองหาที่นั่งกันตามที่ตนเองชอบ บนรถเมล์ตอนนั้นไม่มีผู้โดยสารเหลือเลยสักคนเดียว จะมีก็เพียงแต่พนักงานขับรถและกระเป๋ารถนั่งกันอยู่ที่ส่วนหน้าแค่สองคนเท่านั้น หลังจากหาที่นั่งและจ่ายเงินค่าตั๋วเรียบร้อยแล้ว รถก็ออกแล่นไปตามท้องถนนที่เงียบเชียบตามปกติ สักพักรถก็หยุดที่ป้ายแห่งหนึ่งแล้วมีผู้โดยสารอีกสองคนเดินขึ้นรถมา และหนึ่งในนั้นแต่งชุดสีแดงแบบโบราณ ซึ่งหนุ่มพนักงานบริษัทก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะปกติเวลาคนอื่นขึ้นรถมาเขาก็แทบไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เขาเลือกที่จะเอนหลังแล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา เพราะล้าจากการทำงานอย่างเต็มที่มาทั้งวันแล้ว
ทันใดนั้น ชายแก่ที่เดินขึ้นมากับเขาตั้งแต่ป้ายแรก ก็ลุกขึ้นและร้องโวยวายหาว่าหนุ่มพนักงานบริษัทขโมยกระเป๋าเงินของเขา สีหน้าของชายแก่ดูโกรธเกรี้ยวมาก และชี้หน้าหนุ่มพนักงานบริษัทพร้อมกับด่าเสียงดังโวยวายลั่นรถ ท่ามกลางความงุนงงของชายหนุ่มพนักงานบริษัทที่กำลังลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากพักสายตาไปได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น และแม้ว่าเขาจะปฏิเสธยังไง ชายแก่ก็ยังคงไม่เชื่อและกล่าวหาว่าเขาเป็นขโมยอยู่อย่างนั้น กระเป๋ารถเมล์เองก็พยายามที่จะเดินเข้ามาห้ามไม่ให้ทะเลาะกันบนรถ แต่ชายแก่ก็ไม่ยอม แกดึงดันว่าจะไปแจ้งความที่โรงพักอย่างเดียวเท่านั้น ในที่สุดคนขับก็ต้องยอมขับไปจอดหน้าโรงพักที่อยู่ในบริเวณนั้นให้
แต่ทันทีที่ลงจากรถเมล์คันนั้นได้ ชายแก่ก็มองหน้าหนุ่มพนักงานบริษัท พร้อมกับถอนหายใจออกมาแผ่วเบา สีหน้าของแกตอนนั้นไม่มีวี่แววของความโกรธเคืองที่ทำในรถก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่เลย หนุ่มพนักงานบริษัทก็มองหน้าชายแก่ด้วยความงุนงงสงสัย และถามออกไปว่า
“ทำไมคุณไม่รีบไปแจ้งความ?”
ชายแก่ก็ตอบเขาไปเบาๆว่า
“ไม่หรอก แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เราลงจากรถคันนั้นมาได้ ผมช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ รู้ไว้ซะด้วย ว่าไอ้ผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่ มันเป็นผี! ผมเห็นว่ามันเดินขึ้นมา แต่มันไม่มีขา! ผมก็เลยแกล้งทำเป็นโวยวายว่ากระเป๋าสตางค์หายเพื่อที่จะได้ลงจากรถคันนั้น”
ชายแก่คนนั้นอธิบายด้วยท่าทางขนพองสยองเกล้า
48 ชั่วโมงต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถเมล์คันหนึ่ง คว่ำอยู่ในหนองน้ำ ห่างจากเมืองปักกิ่งราวร้อยกิโลเมตร ซึ่งรถคันนั้นเป็นคันเดียวกับที่พนักงานบริษัทและชายแก่ขึ้นมาในคืนนั้นนั่นเอง ตำรวจพบคนขับและกระเป๋ารถเป็นศพเน่าเปื่อยเละเทะอยู่ภายในรถ และนอกจากนั้นยังมีปริศนาอีกหลายๆ อย่างที่ยังไขไม่ได้จนทุกวันนี้ ปริศนาเหล่านั้นได้แก่
รถเมล์คันนั้นวิ่งมาถึงจุดที่มันคว่ำได้อย่างไร ในเมื่อถังน้ำมันไม่มีน้ำมันสักหยด แต่มีเลือดสดๆบรรจุอยู่ในถังจนเต็มแทน
กล้องวงจรปิดรอบๆบริเวณถนนในวันนั้นก็ไม่สามารถจับภาพรถเมล์คันนี้ได้เลย ว่าเดินทางจากจุดไหนไปยังจุดไหน
ศพของโชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์เน่าเปื่อยเร็วขนาดนั้นได้ยังไงทั้งที่เวลาผ่านไปแค่สองวัน
คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงในปี 1995 และโด่งดังไปทั่วประเทศจีน จนทำให้ชาวจีนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในเมืองปักกิ่งนั้น ต้องขยาดกับการนั่งรถเที่ยวสุดท้ายของวันเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าอาจจะต้องเจอเข้ากับเหตุการณ์สยองขวัญแบบนี้เข้าสักวัน…ก็เป็นได้