Site icon Investwallet

เล่าเรื่องผีหลอน EP.49 ฝันเป็นลาง

เล่าเรื่องผีหลอน EP.49 ฝันเป็นลาง

เล่าเรื่องผีหลอน EP.47 จิตอาฆาต

มีใครเคยฝันแปลกๆแบบความฝันกับความจริงเหมือนกันมากจนแยกไม่ออก ที่หลายๆคนเชื่อกันว่ามันเป็นฝันที่เป็นลางบอกเหตุกันบ้างไหมคะ เคยได้ยินมาว่ามีไม่กี่คนที่จะฝันเป็นลาง บางคนก็ฝันแค่คลับคล้ายคลับคลา แต่บางคนก็เห็นเต็มๆตามเหมือนเดจาวู ซึ่งเรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เหมือนเดจาวู โดยเป็นเรื่องจากคุณออนที่ได้เล่าให้ฟังเรื่องความฝันเป็นลางที่เกิดขึ้นกับเธอและครอบครัวของเธอ โดยเรื่องมีอยู่ว่า

ตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ ปี3 ที่มหาลัยแห่งหนึ่งย่านถนนบายพาส จังหวัดเพชรบุรี ส่วนพ่อกับแม่เราอยู่กทม.

ช่วงเดือนธันวาปี 2558 พ่อก็กลับไปดูไร่นาที่ขอนแก่น เพราะไม่มีใครดูแล

เราเลยไปนอนอยู่ที่หอกับเพื่อน แล้ววันหนึ่งเพื่อนๆเราก็นั่งเล่นไพ่กัน แต่เราง่วงมากเลยหลับไป จำได้ว่าหลับไปแปปเดียวก็ฝัน เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ว่าตัวเองนั่งเล่นไพ่กับเพื่อน และกำลังนั่งลุ้นไพ่อยู่ พอเปิดไพ่มา ก็กลายเป็นรูป “ ผู้หญิงนุ่งชุด คล้ายชุดภูไทของคนอีสาน มีพานหมากพลูอยู่บนหัว มือตั้งท่าฟ้อนรำ ด้านล่างไพ่มีคำบรรยายว่า

“ไม่ต้องการอะไร ขอแค่ร่างกายเท่านั้น”

เรากลัวมาก แล้วรู้สึกตัวว่ากำลังฝันอยู่เลยพยายามตื่น แต่ตื่นยากมาก จนต้องกระชากตัวเองให้ลุก ตอนนั้นสะดุ้งแรงจนเพื่อนๆตกใจ พอเราตื่นก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง ตอนนั้นคิดว่า จากรูปในไพ่คิดว่าเป็นผีฟ้าและน่าจะเป็นลางบอกเหตุแน่ๆ เพราะก่อนหน้านี้เคยฝันถึงผีฟ้ามารำ ต่อมาไม่กี่สัปดาห์ปู่ก็เสีย (ปู่ของเราเคยเป็นคนรำทรงมาก่อน และพ่อของเราเองก็เคยเช่นกัน แต่พ่อบอกว่าทำพิธีออกแล้ว)

หลังจากวันนั้นก็คิดมาตลอดว่าต้องเป็นตัวเองแน่ๆ มีลางแบบนี้ อาจจะเกิดอันตรายกับเราเอง

จนกลางเดือนธันวา เราก็กลับมา กทม. พอดีกับที่พ่อเรากลับจากขอนแก่น พ่อมีอาการปวดหลัง ตอนแรกก็เหมือนปวดๆเพราะแบกของหนักธรรมดา แต่กินยาก็ไม่หาย นวดก็ไม่หาย หาหมอก็ไม่หาย จากนั้นอาการของพ่อก็เริ่มเป็นหนักขึ้น นอนไม่ได้ เดินลงบันไดก็แทบจะต้องคลานลงมา แล้ววันนึงเราก็ฝันว่ามีผู้หญิงแก่ๆ มาพูดกับเราว่า “ ทำยังไงมันก็ไม่หายหรอก มันต้องไปขอขมาผีปู่ผีย่า” พอเราฝันแบบนี้เลยไปบอกพ่อ พ่อเล่าว่า ตอนที่พ่อกลับขอนแก่น ไปเกี่ยวข้าวไม่ได้ทำพิธีตามโบราณที่ทำๆกันต่อๆมาจากปู่ พ่อเลยโทรไปบอกป้าให้ไปทำพิธีขอขมาผีปู่ผีย่าให้ (เป็นความเชื่อนะคะ จุดนี้อะไรก็ได้ แค่ให้หายปวดก็ต้องทำ)

หลังจากนั้นอาการก็ทรงๆทรุดๆ แล้วเริ่มหนักขึ้น จนวันที่ 31มกราคม59 พ่อปวดจนทนไม่ไหวจนเข้าแอดมิทที่รพ. หมอตรวจเบื้องต้นพบว่า

“ กระดูกสันหลังงอผิดรูป ไปกดเส้นประสาท ต้องผ่าตัด “

หลังจากนั้นพ่อก็รักษาอาการที่รพ.แห่งหนึ่งย่านสีลม เราก็เลยต้องไปกลับ เพชรบุรี-กรุงเทพ ทุกอาทิตย์ เพื่อมาเยี่ยมพ่อ หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้วก็คิดว่าอาการพ่อน่าจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแย่สุดๆเลยค่ะ …เพราะผลออกมาว่า

“ พ่อเป็นมะเร็ง … และมะเร็งลามไปกระดูกจนพรุน ซึ่งนี่คือระยะสุดท้าย หมอบอกว่า พ่อน่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน”

ตอนนั้นทั้งแม่และเราทรุดเลยค่ะ เครียดมากไม่คิดว่าต้องมาเจอกับตัว ก็ใครจะคิดล่ะคะพ่อของเราจากคนแข็งแรงปกติอยู่ดีดี กลับมาเหลือเวลาอยู่แค่ไม่เกิน 6 เดือนเนี่ยนะ เราแทบไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนนั้นเรากับแม่ก็เลือกที่จะไม่บอกพ่อค่ะ ทำแค่ดูแลและให้กำลังใจเท่านั้น

แล้ววันนึงเราก็กลับมาเพชรบุรีเพื่อมาเรียน ก็มานอนพักที่หอช่วงบ่ายๆ และเราก็ฝันอีกแล้ว ตอนนั้นเราฝันว่าเรามาหาพ่อที่รพ. แต่ไม่เจอพ่อ เราก็เลยโทรหาแม่ แม่ก็บอกว่าพ่ออยู่ชั้น7 ตึกที่รักษากระดูก เราก็เลยเดินขึ้นไปตามที่แม่บอก พอใกล้จะถึงก็เห็นพระพุทธรูป พระเครื่อง เศีรยพระพิฆเนศและ พ่อแก่ เยอะแยะเต็มไปหมดเลยค่ะ เราเลยไม่กล้าขึ้นไป ก็เลยโทรหาแม่อีกที แม่บอกว่าพ่อย้ายตึกแล้วนะ อยู่ตึกรักษามะเร็ง

สักพักก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแทรกเข้ามา เราเลยบอกว่าน่ากลัวจังที่รพ มีผีไหม แม่บอกมีเยอะเลย แล้วจู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงแทรกมาว่า “ อยู่ที่หอก็ไปหลอกได้นะ” ในฝันกลัวมากค่ะรีบตัดสายแล้วขึ้นไปหาพ่อที่ตึกใหม่ ตอนขึ้นไป มีคนบอกว่าต้องเอาพระขึ้นไปด้วย เพราะข้างบนมีผี แล้วก็มีผู้หญิงคนนึง ให้พ่อแก่และพญาครุฑกับเรา เราก็กำพญาครุฑไว้ในมือ แล้วอมพ่อแก่ไว้ในปาก จากนั้นก็ขึ้นลิฟท์ไปหาพ่อค่ะ…..

แต่จุดพีคของความฝันคือตรงนี้ ห้องที่ว่านั้นเป็นห้องรวม มี 6 เตียง เราก็มองเข้าไปในห้อง ตรงเตียงที่ 3 ที่อยู่ริมหน้าต่างในสุด เราเห็นมีผู้ชายร่างใหญ่ ผิวสีดำ นุ่งโจงกระเบนสีแดงนอนอยู่ และมีเงาของพ่อลางๆอยู่ตรงนั้น …เราเห็นแล้ว เรากลัวมาก รู้สึกตัวว่านี่ฝันผิดปกติแล้ว เลยพยายามจะตื่นค่ะเราพยายามตื่นอยู่นานมากจนเหงื่อท่วม แต่สุดท้ายแล้วเราก็ตื่นค่ะ

… วันนั้นพอตื่นแล้ว เรารีบโทรหาแม่และตีรถ กลับกทม.เลยค่ะ เป็นห่วงพ่อมากๆ เพราะเราคิดว่าการฝันนี้เป็นลางไม่ดีมากเลย

…พอมาถึง กทม. ก็นั่งรถไปหาพ่อที่รพ. แม่มาบอกว่า พ่อต้องย้ายตึก ไปที่ตึกรักษามะเร็ง เราก็นึกในใจว่าเหมือนที่เราฝันเลย ตอนนั้นภาวนาขออย่าได้เจอเหมือนในฝันเลย พอถึงรพ.เราก็เดินหาตึกรักษามะเร็ง ถามคนไปเรื่อยๆ ตอนเจอตึกใจสั่นมาก ทั้งกลัวทั้งห่วงพ่อ เราก็เดินไปขึ้นลิฟท์ ตอนที่อยู่ในลิฟท์เราก็สังเกตอีกว่า ลิฟท์ตัวนี้เหมือนลิฟท์ตัวที่อยู่ในฝันเลย ภาพในฝันกับภาพจริงตอนนี้คือเหมือนกันมาก ตอนเราเข้าไปในลิฟท์นี่ยืนชิดประตูเลยค่ะ กะว่าถ้าเจออะไรต้องออกมาให้เร็วที่สุด พอออกจากลิฟท์ ทุกอย่างที่เราเห็นตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นมุมห้องต่างๆ ทางเลี้ยว ทางโค้ง ประตู โต๊ะและของอื่นๆ มันเหมือนกับสิ่งที่เห็นในฝันมา ทั้งๆที่เราไม่เคยมาที่มาก่อน ชั้นนี้พอออกจากลิฟท์จะเจอทางแยก2ทาง ตอนนั้นอยากลองค่ะว่ามันจะเหมือนในฝันแค่ไหน เลยเลือกเลี้ยวไปห้องทางซ้าย โดยที่ไม่ได้โทรถามแม่ว่าพ่ออยู่ห้องไหน เราก็เดินไปตามทางที่เราฝัน จนถึงห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องผู้ป่วยรวม ( จริงๆแล้วเราก็มารู้ที่หลังค่ะว่า ห้องนี้ส่วนมากจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่ รักษาไม่ได้แล้วจริงๆ ให้อยู่รวมกันห้องนี้เพื่อพยุงอาการไปจนถึงวันสุดท้าย)

พอเรามาถึงหน้าห้องภาพที่เห็นคือ ห้องกว้าง มี6 เตียง และพ่อนอนใส่เครื่องช่วยหายใจ บนเตียงที่3 ริมหน้าต่าง แบบที่เราเห็นในฝันเลยค่ะ …ตอนนั้นเราอ้าปากค้าง อึ้ง ตกใจ รู้สึกเย็นชาไปทั้งตัว เรายืนนิ่ง จนแม่เดินมาหาแล้วถามว่า มาถูกได้ไง
เราก็เดินเข้าไปหาพ่อ อาการของพ่อตอนนั้นคือ รู้เรื่อง แต่หายใจเองลำบากต้องมีเครื่องช่วย ร่ายกายขยับไม่ได้ ขยับได้แค่มือเล็กน้อย หมอว่าน้ำเข้าปอด ต้องเจาะปอดระบายน้ำ และให้อาหารทางสายยาง เราสื่อสารกันทางสายตา เราถามแล้วให้พ่อพยักหน้าหรือส่ายหัว ถ้ามีกำลังหน่อยก็ ให้เขียนลงกระดาษค่ะ

ที่รพ. ให้เข้าเยี่ยมได้ถึง2ทุ่ม แต่สามารถให้ญาติเฝ้าได้ 1 คน…. ซึ่งวันนั้นก็ต้องเป็นเราละค่ะ เพราะแม่เหนื่อยมาหลายวันแล้ว

นึกภาพตามนะคะ ห้องกว้างๆ กับเตียงว่างๆ5 เตียง มีพ่อ เรา และพยาบาล ที่จะเดินมาตรวจอาการทุก2ชั่วโมง

ช่วง2ทุ่มถึง4ทุ่ม ยังไม่เท่าไหร่ค่ะ เพราะพยาบาลยังเยอะอยู่ หลังจากนั้นเขาจะเปลี่ยนเวร กลับกันแล้ว ทุกอย่างจะเงียบมาก ไฟในห้องเปิดแค่เตียงพ่อเรา และห้องน้ำเท่านั้น

คืนแรกเราไม่นอนเลยค่ะ นั่งเก้าอี้หลังชิดกำแพง ในเวลาที่พยาบาลยังไม่มาเราจะไม่ลุกไปไหนทั้งนั้น เพราะกลัวค่ะ มันวังเวงมาก พอพยาบาลมา เราถึงจะได้ลุกยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำบ้าง จบคืนแรกไม่มีเหตุการณ์อะไรค่ะ มีแค่ลมเย็นๆเป็นพักๆจากหน้าต่างกับผ้าม่านที่ชอบปลิวเอง ทั้งๆที่ลมไม่ได้พัด
พอตอนเช้าแม่ก็มาเปลี่ยน ให้เรากลับบ้านนอนค่ะ

ต่อไปจะเล่าเรื่องตอนที่เฝ้าพ่อที่รพ. แต่อาจจะไม่เรียงตามคืนที่เฝ้านะคะ เพราะจำไม่ค่อยได้

เหตุการณ์แรกค่ะ

คืนนั้นเฝ้าพ่อคนเดียว ช่วงเวลาประมาณตี2นิดๆ หลังจากที่พยาบาลเข้ามาตรวจอาการแล้วออกไป

เราเหนื่อยค่ะ เลยเผลอนั่งหลับ หลับไปประมาณ20นาที ค่ะ รู้สึกว่ามีมือเย็นๆมาจับที่แขน จับแล้วกระชาก แต่ไม่แรงมาก เหมือนกระชากให้ตื่น เราเลยสะดุ้งตื่น เห็นพ่อกำลังต้องการความช่วยเหลือค่ะ พ่อหายใจไม่ออกเพราะมีเสลดติด เราเลยรีบกดออด ขอความช่วยเหลือจากพยาบาล
…เรานึกถึงมือที่มากระชากเรา เพราะไม่ใช่มือพ่อแน่ๆ เตียงกับเก้าอี้ที่เรานั่ง ห่างกันแบบที่พ่อไม่สามารถเอื้อมมากระชากได้และมือพ่อก็มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ยังไงก็มากระชากแขนไม่ได้แน่นอน เราคิดว่าเขาอาจจะมาช่วยให้เราตื่น เพื่อมาดูพ่อค่ะ

เหตุการณ์ที่สอง

เวลาเกือบตีสาม ช่วงที่ไม่มีพยาบาลเดินไปมาแล้ว พ่อก็มีท่าทีแปลกๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ตามองไปที่ปลายเตียง สลับกับมองหน้าเรา ทำตาเลิ่กลัก เราก็ถามว่าจะเอาอะไร หายใจไม่ออกหรอ พ่อก็ส่ายหน้า ถามอะไรก็ส่ายหน้า สักพักก็ยกมือไปที่ปลายเตียง เราก็ถามอีก หมุนปลายเตียงขึ้นหรอ ก็ส่ายหัวอีก … จนบรรยากาศแบบรู้สึกขนลุก มีลมเย็นๆผ่านเข้ามา เลยนึกถึงภาพความฝันที่เห็นผู้ชายโจงกระเบนแดง เลยถามพ่อว่า ..พ่อเห็นหรอ พ่อพยักหน้า… เรานี่สั่นไปหมด จะกดออดเรียกพยาบาล ก็กลัวเขาจะหาว่าเราเพ้อเจ้อ
พ่อเห็นแต่เราไม่เห็น ความรู้สึกมันน่ากลัวกว่าเห็นจังๆสะอีก เราเลยกลั้นใจ พูดออกไปว่า ‘ อย่ามาทำให้เห็นให้กลัวได้ไหม คนกำลังป่วยจะมาปั่นทอนกำลังใจทำไม อย่ามาให้เห็นเลยค่ะ ขอร้อง ‘ …. เราไม่รู้ว่าเขาหายไปหรือยัง แต่สักพักพ่อก็ไม่มีท่าทีกลัวแล้ว เหมือนเหนื่อยๆ แล้วก็หลับไป แต่เราสิคะ นั่งผวาทั้งคืนจนเช้า

เหตุการณ์ที่สาม

วันนั้นเรามาเฝ้าพ่อตอนเช้า แล้วกลับตอนตอน1ทุ่ม ตอนนั้นที่ตึกเงียบมาก เราเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว เวลากลับคนเดียวก็จะโทรคุยกะเพื่อน ให้เพื่อนคุยเป็นเพื่อนค่ะ
เรากดลิฟท์เพื่อจะลง พอเราเข้าไปในลิฟท์แล้วเรากดปิดประตู จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิง เหมือนร้องไห้กึ่งหัวเราะ ได้ยินเสียงเบาๆ แต่ เราก็ทำไรไม่ถูก ยืนตัวแข็งกลั้นใจให้ถึงชั้นล่างเร็วๆ ไม่ใช่เสียงลิฟท์แน่ๆ ยืนยันว่าเสียงคนค่ะ คลอเบาๆตั้งแต่ชั้นบนยันชั้นล่าง พอประตูลิฟท์เปิด เรานี่วิ่งเลย มือก็รีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนให้ไว
พอตอนเช้ามาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็มาบอกว่ามีคนไข้ห้องพิเศษพึ่งเสียเมื่อวานตอนเรากลับพอดี คือช่วงตอนเรากลับเขาก็สิ้นใจพอดี …นี่ก็ไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเสียงใคร จะใช่เสียงเขาหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่รู้ค่ะแล้วก็ไม่อยากรู้แล้วด้วย

เหตุการณ์ที่สี่

พอพ่ออาการเริ่มหนักขึ้น ก็เริ่มเหมือนเพ้อๆค่ะ พ่อเขียนใส่กระดาษบอกว่า “ หาถ้วยมาใส่ของหวานหน่อย เมียลุงข้างๆ ซื้อมาฝาก” ตอนนั้นงงหนักมากค่ะ และบอกพ่อว่าไม่มีใครเอาอะไรมาให้นะ แต่พ่อก็ยังเหมือนทำหน้ามั่นใจว่ามีคนซื้อมาให้ เหตุการณ์นี้เหมือนจะไม่ค่อยหลอน แต่แอบสงสัยว่า พ่อเห็นใคร เพราะในห้องนอกจากเรากับพยาบาลแล้วก็ไม่มีใครเข้ามา

นอกจากเหตุการณ์หลักๆที่เล่ามาแล้วนั้น ส่วนมากจะเป็นกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ลมเย็นๆ ที่พัดมาช่วงดึกๆ อันนี้เกิดบ่อยมากตลอด3เดือนที่อยู่รพ.ค่ะ เพราะหลังจากนั้นไม่นานพ่อเราก็เสีย

พ่อเราเสียวันที่18เมษาค่ะ ก่อนจะเสีย แม่ไปบอกพ่อว่า ไม่ห่วงอะไรนะ เดี๋ยวจะไปสวดมนต์ที่วัดให้ จะได้ไปสบาย ที่แม่บอกแบบนี้เพราะอาการพ่อแย่มาก ไม่ตอบสนองอะไรแล้ว กระพริบตาได้เบาๆ ร่างกายไม่รับน้ำและอาหาร จากนั้นแม่ก็ไปสวดมนต์ที่วัดค่ะ กลับมาถึงรพ.ก็เกือบเย็น สังเกตเห็นว่าเครื่องวัดชีพจรดับไป เลยเรียกพยาบาลมาดู ถึงรู้ว่าพ่อไปแล้ว ในตอนหกโมงเย็น

แต่วันนั้นเรากลับอยู่ที่ม.แล้ว แต่รู้สึกอยากร้องไห้มาก ใจหวิว เลยโทรหาแม่ช่วงนั้น แม่ไม่รับโทรศัพท์ จนเราโทรจี้ๆถึงจะรับตอนทุ่มกว่าๆ เราถามว่าเป็นไงบ้าง ทำไรอยู่ แม่บอก พยาบาลกำลังอาบน้ำแต่งตัวให้พ่ออยู่ เราเลยรู้เลยว่าพ่อไปแล้ว แต่แม่ไม่ยอมบอกเราตั้งแต่แรกเพราะกลัวเรารีบกลับจากเพชรบุรี มันดึกแล้วอันตรายค่ะ

รุ่งเช้าเราเลยรีบกลับค่ะ รถรอบ6โมง ถึง กทม.ก็9โมงกว่าๆ ก็รีบไปรพ.เพื่อรับศพพ่อ กลับไปทำพิธีที่ขอนแก่นค่ะ แม่เป็นเดินเรื่องเอกสาร เราและญาติรอรับศพขึ้นรถ หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เตรียมเอาพ่อขึ้นรถค่ะ ไปกับรถของมูลนิธิฯเขาพาไปส่งถึงขอนแก่นเลย ก่อนขึ้นก็ทำพิธีบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เรียกวิญญาณกลับบ้านค่ะ เราเห็นร่างของพ่อตอนยกใส่โลง ตัวบวมมาก ทำให้รองเท้าที่ซื้อมาใส่ไม่ได้ เลยไม่ได้ใส่รองเท้าไปค่ะ

เราออกเดินทางกันตอนเที่ยงค่ะ แม่ไปกับหลานพ่ออีกคันนึง เราไปกับลุงอีกคัน และพ่อไปกับรถมูลนิธิกับอาค่ะ

รถมูลนิธิขับถึงขอนแก่นก่อนเราและแม่ เขาจัดให้พ่อนอนในโลงที่เตรียมไว้เรียบร้อย ที่บ้านก็วุ่นๆกำลังเตรียมงานกัน หน้าบ้านก็มีญาติๆมานั่งคุยกัน

ลูกชายของอา อายุได้4ขวบ ก็พูดขึ้นว่า เห็นพ่อของเรา นั่งอยู่แล้วก็ชี้ๆไปที่แคร่หน้าบ้าน ญาติๆเลยบอกว่า สงสัยเด็กมันจะเห็น ไหนถามลุงสิ ลุงอยากได้อะไรไหม? น้องก็ถามค่ะ สักพักก็ได้คำตอบ ลุงบอกว่า อยากได้รองเท้า ลุงไม่ได้ใส่รองเท้า ….ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่าเด็กตัวแค่นั้นจะพูดเป็นเรื่องเป็นราวได้ยังไง ส่วนเรื่องรองเท้าก็ไม่มีใครบอกค่ะ อาที่มาพร้อมกับพ่อด้วยก็ไม่ได้บอก

หลังจากทำพิธีส่งพ่อไปสวรรค์ เราก็มานอนพักค่ะ นอนกึ่งหลับกึ่งตื่น เหมือนฝันว่าพ่อมากอดค่ะกอดแน่นมากๆ แล้วบอกว่าเอารูปไว้ที่บ้านนะ (ที่ขอนแก่น) เอาไว้กับปู่ย่าและอาทั้ง2 ที่เสียชีวิตกันแล้ว จากนั้นก็กอดแรงขึ้นจนเราอึดอัด พยายามที่จะตื่น พอตื่นปุ๊ปเราก็เล่าให้แม่กับป้าฟังค่ะ พอเล่าจบ ป้าอีกคนก็เดินถือรูปพ่อเข้ามาบอกว่า ให้เราเอารูปพ่อกรุงเทพ เอาไปไหว้ไรงี้ แม่กับป้าที่ฟังเราเล่าความฝันก็พากันขนลุกเลยค่ะ เลยตอบป้าคนนั้นไปว่า คงไม่ได้หรอก เขาพึ่งมาบอกลูกว่าให้เอาไว้ที่นี่ ….จากนั้น เราก็เอารูปพ่อขึ้นไปไว้กับรูปญาติคนอื่นๆที่บ้านขอนแก่นค่ะ

ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบปีแล้วหลังจากที่พ่อเสียค่ะ เพื่อนบ้านบางคนก็รู้ บางคนก็ไม่รู้ เมื่อเดือนที่แล้ว มีพี่คนนึงชื่อพี่บี พี่บีมาทักทายแม่ตามปกติ แล้วก็ถามว่า แฟนพี่ไปไหนอีกละ ช่วงนี้ไม่เจอเลย กลับไปทำนานอีกละหรอ แม่เราบอกว่า โหยย ไปอยู่ไหนมา เขาเสียไปตั้งแต่เมษาแล้ว พี่บีตกใจค่ะ เถียงแม่ว่ายังเห็นอยู่เลยเดือนที่แล้ว เดินอยู่หน้าบ้าน ลูกสาวก็เห็นตอนกลางคืนบ่อยๆ ชอบยืนหน้าบ้าน แต่ไม่ได้ทักเพราะปกติไม่ค่อยได้คุยกันค่ะ

พอเขารู้ว่าพ่อเราเสีย ก็ตกใจกันทั้งบ้านเลย เพราะเขาเจอพ่อเราบ่อยมากๆ ลูกสาวเขาที่เห็นพ่ออยู่หน้าบ้าน ร้องไห้เลยค่ะแกกลัว.มาก..

ส่วนพ่อของเราก็ยังคงมาให้คนอื่นเห็นเป็นพักๆ บางคนก็เห็นเดินออกจากบ้าน บางคนก็เห็นยืนหน้าบ้านแต่เรากับแม่ไม่เคยเห็นเลยค่ะ เรากับแม่หลังจากที่ได้ยินเรื่องจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆเรื่องพ่อ ก็พยายามไปทำบุญให้พ่อบ่อยๆ หลังจากนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนแถวนั้นยังเห็นพ่อกันอยู่อีกไหม เพราะเรากับแม่ไม่ได้ถามและก็ไม่มีใครมาเล่าอะไรให้ฟังอีก

Exit mobile version