Site icon Investwallet

เล่าเรื่องผีหลอน EP.54 ใช่ยายของฉันแน่เหรอ ?

เล่าเรื่องผีหลอน EP.54 ใช่ยายของฉันแน่เหรอ ?

เล่าเรื่องผีหลอน EP.54 ใช่ยายของฉันแน่เหรอ ?

มีเพื่อนๆท่านในเคยอยู่กับคนที่ใกล้จะตายไหมคะ บางครั้งเขาก็จะพูดอะไรแปลกๆ หรือทำตัวแปลกๆไปจากเดิม ว่ากันว่า บางครั้งคนที่ใกล้จะตาย จะเป็นช่วงจิตอ่อน อาจจะมีวิญญาณหรือสิ่งลี้ลับอื่นๆเข้ามาสิงอยู่ในร่าง เรื่องนี้ไม่มีใครพิสูจน์ความจริงได้ว่ามันจะจริงตามที่ว่ากันมารึเปล่า ดังเช่นเรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของคุณ อร ที่เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับคุณยายของเธอก่อนที่ท่านจะเสีย เรื่องจะเป็นยังไง เราไปฟังพร้อมๆกันเลยค่ะ

ประมาณ 7 ปี ที่แล้ว ตอนนั้นเราอยู่ประมาณม.5 เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ โตมาแบบบ้านๆ เรื่องผีๆสางๆนี่รับรู้มาตั้งแต่จำความได้

ตามักจะย้ำเสมอว่า ” ผีมันมีอยู่จริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

ซึ่งเราจะ โดนเป่าหูมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กจนโต

ตาก็ขยันเล่าเรื่องผีๆ ที่เจอมากับตัวให้ฟัง เราจึงกลายเป็นคนที่กลัวผีมากๆตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แล้วเรื่องของเรื่องมันก็เกิดขึ้นช่วงที่ยายของเราป่วยค่ะ แกเจ็บออดๆแอดๆตามประสาของคนแก่ ยายเราตอนนั้นอายุ86ปี

ยายมีโรคประจำตัวตามประสาคนแก่ แล้วก็ตามกรรมพันธุ์ค่ะ หลายโรคมาก ตาก็มองไม่ค่อยเห็น ที่สำคัญคือยายหูตึง ค่อนไปทางหนวก พูดจะไม่ได้ยิน ยายจะมีเครื่องช่วยฟัง แต่ไม่ได้ใช้ จะชอบพูดแล้วใช้มือชี้ๆสั่งๆเอา

ในช่วงประมาณสองเดือนก่อนที่ยายเราจะเสีย ป้ามาเล่าให้แม่ฟังว่า อาการของยายเริ่มแปลกๆไป เริ่มจากชอบทานของร้อนเค็มๆมากๆ บางครั้งกินแบบร้อนจนลวกปาก และปากพองค่ะ

คือเมื่อก่อนยายจะชอบต้มน้ำร้อนกินตอนกลางคืนเวลายายนอนไม่หลับ ซึ่งเราก็เข้าใจ ไม่เอะใจอะไรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่ากินของเค็มมากกก เวลาต้มข้าวต้มนี่ใส่เกลือเป็นช้อนโต๊ะต่อถ้วยเลยค่ะ ถ้าคนปกตินี่โรคไตถามหาแล้ว

และมันสะดุดตรงที่ปกติยายเราเป็นคนกินของที่ค่อนข้างหวาน ชอบกินหวานๆ กับข้าวนี่น้ำตาลตลอด และโรคประจำตัวโรคหนึ่งของยายก็คือโรคเบาหวาน แต่มาคราวนี้แกกินเค็มมาก ซึ่งมันผิดวิสัยค่ะ

วันต่อมาป้าก็มาเล่าให้แม่ฟังอีก ว่ายายมักจะบ่นว่าอยากกินต้มเครื่องใน พวกเครื่องในวัว นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผิดวิสัย เพราะปกติยายเป็นคนไม่กินไก่ ไม่กินเนื้อวัวเพราะยายบอกว่าคาวและเหม็น คือเมื่อก่อนยายจะชอบกินขาหมูมาก แกบอกว่าใส่น้ำจิ้มนิดหน่อยก็อร่อยแล้ว เห็นแกกินขาหมูทีไรเหมือนแกจะมีความสุขมาก แต่เดี๋ยวนี้เอาขาหมูมาให้แกก็ไม่แตะ วันนั้นหลังจากป้ามาเล่าให้ฟัง แม่ก็ตามไปหายายที่บ้านด้วย ยายเห็นแม่ก็ดีใจและบอกให้แม่รีบไปทำต้มเครื่องในวัวมาให้แกหน่อย คือ แกไม่ยอม ไม่เอาอย่างอื่น ต้องเป็นต้มเครื่องในวัวเท่านั้น และจะเอาเดี๋ยวนั้นด้วย ซึ่งบ้านเราสมัยก่อนค่อนข้างเป็นชนบท เวลายายสั่งเมนูอาหาร กว่าจะได้ทำให้กินก็ต้องเป็นมือเย็น ก่อนหน้านี้บ้านเรามักจะล้อมวงกินข้างกันช่วงพระอาทิตย์ตกดินกันตลอด แต่หลังๆมานี่ ยายไม่ยอมมานั่งกินข้าวกับพวกเรา แต่จะเอาไปนั่งกินคนเดียวใกล้ๆกับวงกินข้าวที่พวกเรานั่งกินกัน

วันต่อมายายก็เริ่มพูดจาแปลกๆ คือบ้านของยายเราจะเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงค่ะ ใครที่นึกภาพไม่ออกลองนึกภาพของบ้านของชาวบ้านแถวต่างจังหวัดในสมัยเก่าๆ คล้ายๆกระต๊อบ ปลูกอยู่ใกล้ๆกับบ้านเราและบ้านป้า คือบริเวณบ้านเราจะอยู่กันแบบพี่น้อง เพราะเป็นเครือญาติกัน ไม่ได้กั้นรั้ว แล้วถ้าเดินออกไปหลังบ้านประมาณ300เมตร ก็เป็นทุ่งนาของบรรดาญาติๆรวมทั้งของที่บ้านด้วย เราจำได้แม่นว่าตอนนั้นใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว

ช่วงนั้นที่บ้านเริ่มเอะใจกันบ้างแล้วว่า ยายเริ่มผิดปกติ และแปลกๆไปจากเดิม ไม่ใช่แค่เรื่องกิน เท่านั้น ยังมีเรื่องคำพูดคำจา ที่มักจะมีคำประหลาดๆออกมา แล้วชอบพึมพำคนเดียว พูดอะไรก็ฟังไม่ออก ขนาดแม่กับป้าก็ยังบอกว่าฟังไม่ออกเหมือนกัน

ตาที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว ก็พูดออกตัวก่อนเลยว่า “ไม่ใช่แม่พวกแกหรอก ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยร่างแม่แกอยู่”

ป้ากับแม่และบรรดาลุงๆที่ได้ฟังต่างก็นิ่งค่ะ ตาบอกว่า “กลางวันอ่ะอาจจะใช่ แต่กลางคืนอ่ะกูว่าไม่ใช่”

ตอนนั้นแม่มาเล่าให้เราฟัง แค่ตอนฟังเราก็รู้สึกขนลุกแล้วค่ะ เราว่าเราค่อนข้างที่จะเชื่อที่ตาพูดนะ อันนี้ไม่ต้องถามเหตุผลนะคะว่าทำไมถึงเชื่อ เพราะมันเป็นความรู้สึกล้วนๆ

แต่เรื่องมันยังไม่จบพียงเท่านี้

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนั้นมีลุงข้างบ้าน แกชื่อ ลุงบัว แกจะเกี่ยวข้าว ซึ่งแม่กับป้าก็ไม่รู้ เพิ่งจะมารู้ตอนค่ำๆก็ตอนที่ลุงบัวมาเล่าเรื่องราคาข้าวให้ฟังที่บ้าน

แต่เรื่องมันเด็ดตรงที่ว่า วันนั้นแม่นั่งคุยกับยายช่วงใกล้ค่ำตะวันกำลังจะลับตา ซึ่งแม่ก็ถามยายว่า วันนี้อยากกินอะไร เอาต้มเครื่องในวัวอีกไหม ตอนนั้นเรายังงอยู่เลย ว่าแม่พูดเบาออกอย่างนั้นยายจะไปได้ยินได้ยังไงกันล่ะ ปกติคุยกะยาย จะต้องตะโกนกันจนแทบหูหนวก

แต่ยายก็ตอบว่า “ไม่รู้!!! วันนี้คันไปทั้งตัวเลย ลัดป่าข้าวไอ้บัวมาคันไปทั้งตัวแล้ว” ตอนนั้นเราและคนที่อยู่ใกล้ๆงงกันมาก ยายเราหูหนวก คุยเบาจะได้ยินที่ไหน แต่คราวนี้ยายกลับได้ยินที่แม่คุยด้วย

แล้วประเด็นคือยายไปลัดป่าข้าวมาตอนไหน ไปรู้ได้ยังไงว่าลุงบัวเกี่ยวข้าว แล้วคันตัวคืออะไร

เราจำได้ว่าวันนี้ยายก็นอนอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้เดินไปไหนเลย ลุงยังนอนเฝ้าอยู่เราและเพื่อนก็เล่นอยู่ข้างล่างใต้ถุนบ้านไม่เห็นยายออกไปไหนเลยนะ

แต่หลังจากที่ทุกคนได้ยินที่ยายตอบ ต่างก็คิดว่า มันไม่น่าจะใช่แล้ว แต่แม่ก็พยายามข่มความกลัวและถามยายต่อ

แม่ : “ถามหน่อยสิ เป็นใครมาจากไหนอ่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว”

ยาย : “ฮ่าๆ กูมาจากดอนม่วง อายุร้อยกว่าปีแล้ว กูอยู่มานานแล้วไม่ต้องรู้หรอก”

คำตอบของยายทำให้เราทุกคนที่ได้ยินแทบช็อก ทุกคนค่อนข้างกลัวกัน เลยไม่มีใครยอมนอนเฝ้ายายตามลำพังเหมือนก่อนหน้านี้ พวกเราทุกคนเลยเลือกมาเฝ้าด้วยกันหมดนี่แหละ มานอนที่บ้านยาย นอนรวมๆกัน คนเยอะๆจะได้อุ่นใจหน่อย

ที่บ้านยายเราจะมีเสากลางบ้าน มีทีวีอยู่กลางบ้าน ยายจะมีมุ้งและที่นอนของเค้าอยู่ริมหน้าต่าง แล้วก็มุ้งของแม่กับป้าที่นอนติดกับยาย

คือวันนั้นเราเข้านอนคนสุดท้ายเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์เล่าเรืองยายให้เพื่อนฟัง เลยขึ้นบ้านยายมาช้ามากก ทั้งบ้านปิดไฟนอนหมดแล้ว

เราก็ค่อยๆย่องเข่าไปในมุ้ง มุ้งเราก็อยู่ใกล้ๆแม่ พอเข้าไปได้ก็พยายามข่มตาให้หลับ แต่ว่านอนเท่าไรก็นอนไม่หลับ

แล้วประมาณตีสองเราก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรบางอย่างเบาๆ หนักๆสลับกัน เราก็เลยเหลียวไปก็เห็นว่าเป็นยาย ปกติ เวลายายนั่งจะเอาเบาะรองนั่งมารองก้นตลอด และเสียงที่เราได้ยินคือ ยายที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะและค่อยๆลากเบาะรองนั่งค่อยๆกระเถิบมาเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ปลายมุ้งของเรา
ตอนนั้นเรากลัวมากก็เลยรีบเรียกแม่ว่า ยายออกมาจากมุ้ง พอเราเรียก ทุกคนที่นอนอยู่ตอนนั้นก็พากันตื่นขึ้นมา และพายายกลับไปนอนในมุ้ง

คืนต่อมา หลังจากทุกคนหลับกันแล้ว ยายก็ สะกิดแม่ที่นอนอยู่อีกมุ้งใกล้ ให้เข้าไปหายายในมุ้งเราที่กำลังจะหลับ ก็หันไปมอง เห็นยายกำลังแลบลิ้นอ้าปากใส่แม่และหัวเราใส่ดังๆ

ตอนนั้นแม่เรากรี๊ดเลยค่ะ และไปเขย่าป้าที่นอนข้างๆให้มาดูยายด้วยกัน พอตื่นเช้า แม่กับป้าก็เอาเรื่องที่เจอมาบอกญาติคนอื่นๆและเพื่อนบ้านแถวนั้นด้วย เลยมีหลายคนเอาพวกใบหนาด เล็บเสือ หนังเสือ หรือมีดวิชาอาคมอะไรไม่รู้มากมายมาใสไว้ใต้หมอนยายโดยไม่บอกให้ยายรู้

หลังจากนั้นพอตกกลางคืนยายก็แทบจะไม่นอนหลับเลย อย่างมากที่สุดก็แค่งีบอยู่แถวๆปลายที่นอนไม่ยอมนอนบนหมอน ไม่ยอมนอนแบบปกติเลย

พอถึงเวลากลางวัน ยายก็จะปกติมาก เหมือนยายคนเดิมที่เรารู้จักมาตั้งแต่ต้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ก็เอาของที่ใส่ไว้ใต้หมอนออกในตอนกลางวัน ทำให้ยายได้นอนในตอนกลางวัน และแม่ที่เฝ้ายายก็จะได้พักผ่อนไปด้วย

หลังจากพักผ่อนไปได้พักหนึ่งยายก็ตื่นขึ้นมา และพูดกับตาว่า มีใครก็ไม่รู้มาเต็มบ้านไปหมด ใส่โจงกระเบนสีแดง มาชวนให้ไปอยู่ด้วย ตอนนั้นเราที่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่ใกล้ๆได้ยินเรายังตกใจเลย

และตอนกลางวันหลังจากนั้นอีกวันหนึ่ง เอาไปซื้อขนมมากำลังจะเอาขึ้นมากินบนบ้าน ว่าจะกินไปดูทีวีไปด้วย พอเดินขึ้นบ้านก็เห็นยายกำลังโบกมือไล่ใครอยู่ เราก็หันตามไปมองก็ไม่เห็นใคร ตอนนั้นยายโบกมือและบอกว่า “ไม่ไป กูไม่ไปกูจะอยู่ที่นี่” แล้วยายก็โบกมือไล่อยู่หลายรอบ ซึ่งตอนนั้นเราเชื่อว่าที่พูดอยู่คือยายจริงๆ ไม่ใช่ยายที่เห็นในตอนกลางคืน แต่บางครั้งเราก็เชื่อว่าคือยาย บางคืนเราก็ว่าไม่ใช่ เราโตมากับยายตั้งแต่เกิด ความรู้สึกมันจะบอกเอง ว่าคนนี้ในเวลานี้คือยายของเราจริงๆหรือไม่ใช่กันแน่ ซึ่งเราก็คิดว่า คนอื่นๆก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน

แต่ละวันยายจะไม่เหมือนกัน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวปกติ เป็นแบบวนๆกันไปอยู่ประมาณ 2 เดือน จากนั้นยายเราก็เสียค่ะ

เราจำได้ว่าวันนั้นประมาณ 5 ทุ่ม เราได้ยินเสียงนกแสกร้องผ่านบ้านเราไป ซึ่งตอนนั้นยายเราก็หายใจไม่ค่อยออกแล้วด้วย

และไม่กี่นาที…ยายก็จากเราไป หลังจากนั้นมาเราและคนอื่นๆก็ใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ไม่มีอะไรให้หลอนหรือกลัวกันอีกแล้ว และเราก็ขอให้ยายไปสู่สุคติค่ะ

Exit mobile version