สิ่งของบางอย่าง ที่เขามาฝากเอาไว้ บางทีอาจจะเป็นของรักของหวงหรือของสำคัญก็ได้ หากแต่ในเวลานั้นๆความจำเป็นของคนเรามันไม่เท่ากันเขาจึงอาจนำมาฝากเอาไว้ แต่ถ้าถึงเวลาเมื่อไรเขาก็อาจจะมาทวงคืน ดังเรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของโทรศัพท์มือถือของเพื่อนพ่อที่นำมาจำนำไว้กับพ่อผม แต่ยังไม่ทันได้ไถ่คืน เขาก็เสียไปจากนั้นเรื่องหลอนๆก็เกิดขึ้น โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณคิว ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง พอย้อนคิดอีกทีแล้วผมยังหลอนไม่หาย ย้อนไปเมื่อประมาณ 10กว่าปีที่แล้ว ผมอยู่ช่วง ม.ต้น ช่วงนั้นผมก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ที่ติดเกมมาก ทุกวันหลังจากเลิกเรียน ผมก็จะต้องเปิดคอมเพื่อเล่นเกมจนถึง เที่ยงคืน-ตี1เป็นกิจวัตรประจำวันในทุกวัน ซึ่งเกม ที่ผมติดช่วงนั้นคือเกม football Manager ซึ่งเกมนี้ค่อนข้างฮิตมากในสมัยนั้น ถ้าใครเคยเล่นและอิน จะรู้เลยว่าเกมนี้ดูดพลังงานชีวิตมาก
วันหนึ่ง มีคนรู้จักของพ่อ เอามือถือมาจำนำไว้ ลืมบอกไปครับว่าบ้านผมไม่ได้เป็นร้านรับจำนำนะครับ แต่พ่อก็เปิดร้านซ่อมอุปกรณ์ครับ แต่คนรู้จักของพ่อเขามาขอร้องไว้โดยการเอามือถือมาจำนำกับพ่อผม เป็นมือถือเก่าๆ สภาพประมาณ 30% เขาจำนำด้วยราคาแค่ไม่กี่ร้อย เขาบอกแค่ว่าเขามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน
ผ่านมา3เดือน พ่อได้ข่าวว่าเพื่อนพ่อคนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งพ่อผมก็ไปร่วมงานศพเป็นปกติตามมารยาท หลังจากนั้น ซึ่งเป็นคืนที่ 2 ที่คนรู้จักของพ่อคนนั้นเสียชีวิตไป วันนั้นจำได้ว่า ผมก็นั่งเล่นเกมถึงเที่ยงคืนกว่าตามปกติเหมือนทุกๆวัน
แต่จู่ๆก็ ดันมีเสียงมือถือดังขึ้น ผมก็รู้สึกแปลกใจเพราะไม่คุ้นกับเสียงเรียกเข้าที่ได้ยินเท่าไร เพราะปกติเสียงมือถือของคนในบ้านผมจำได้หมด เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของตัวเองเลย แต่วันนั้นเสียงที่ได้ยินมันไม่ใช่เสียงมือถือของคนในบ้านผม
ผมแปลกใจก็ เลยเดินไปดูที่ต้นเสียงนั้น ปรากฏว่าเป็นมือถือ ที่เพื่อนพ่อผมที่เสียไปแล้วดังขึ้นมา พร้อมเบอร์โทรที่ผมไม่รู้จัก พอผมจะกดรับเครื่องก็ดับไป จากนั้นตอนเช้าผมก็ถามพ่อเกี่ยวกับมือถือเครื่องนั้น พ่อเลยเล่าให้ฟังว่า มือถือเครื่องนั้น ไม่ได้ชาร์ตแบตมาประมาณ 3เดือนแล้ว เครื่องก็ปิดตลอดเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนโทรเข้า ผมได้ยินคำตอบของพ่อผมก็ยิ่งงงสิครับ ก็ผมได้ยินจริงๆ แต่พอบอกพ่อไป พ่อก็ไม่เชื่อ หาว่าผมเล่นเกมจนเบลอบ้าง หรือไม่ก็ง่วงจนเบลอบ้าง
ไอ้ผมก็เป็นคนรุ่นใหม่ ได้เจอกับตัวขนาดนี้ และผมมั่นใจ ว่าผมไม่ได้ง่วงหรือเบลอ ก็เลยคิดว่า มันน่าจะมีอะไรแปลกๆเกี่ยวกับมือถือเครื่องนี้แน่ๆ และด้วยความที่ต้องการพิสูจน์และอยากลองดี แบบเกิดมาขอเจอหน่อยสิอยากรู้เป็นไงผมก็เลยทดลองด้วยตัวผมเองเลยครับ
วันเดียวกันกับที่ผมถามพ่อ และก็เป็นวันที่ 3 ที่คนรู้จักของพ่อเขาเสียชีวิตไป ผมก็เลยหยิบมือถือเครื่องนั้นมาด้วย โดยปกติแล้ว ผมจะนั่งเล่นเกมที่ห้องโถงของบ้าน ตรงที่ใช้เป็นห้องรับแขกและนั่งเล่นรวมๆกันนั่นแหละครับ จากนั้นผมก็เลยถอดแบตมือถือออกวางไว้ข้างๆและวางมือถือเครื่องนั้นไว้ใกล้ๆกันกับที่ผมนั่งเล่นเกม (ในใจก็นึกประมาณว่า ..ถ้าเก่งจริงก็โทรมาใหม่สิวะ) และผมก็หันไปเล่นเกมปกติเหมือนเช่นเดิม
คราวนี้ พอนาฬิกาถึงเที่ยงคืน เสียงมือถือก็ดังมาอีกครั้ง ทั้งๆที่แบตก็วางอยู่ข้างๆ ไฟหน้าจอก็กระพริบ แถมมือถือก็สั่นๆ จังหวะนั้น ผมขนลุกทั้งตัวเลยครับ มือที่กำลังเล่นเกมอยู่อย่างเมามันก็หยุดชะงัก เกือบจะทิ้งจอยเกมลงพื้น ใจก็พยายามที่จะหาหลักวิทยาศาสตร์เพื่อมาลบล้างความคิดและความกลัวที่กำลังเกิดขึ้นในหัวผม แต่ตอนนั้นคิดไม่ออก ในหัวผมมันขาวโพลนไปหมด ผม จึงรีบคว้าปลั๊กคอมแล้วดึงออก จากนั้นรีบวิ่งขึ้นบ้านอย่างรวดเร็ว
เช้ามาผมก็รีบมาหาพ่อและเล่าให้พ่อฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อวาน กับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น และพ่อผมก็ยังคงไม่เชื่อและคิดว่าผมโกหก ผมก็เลยบอกพ่อไปว่า ถ้าพ่อไม่เชื่อ พ่อต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง พ่อแกก็เลยจะมาพิสูจน์ ด้วยการนอนที่ห้องรับแขกเพื่อรอฟังเสียง
พอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมก็เริ่มหวั่นๆและนั่งจ้องโทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่ ซึ่งก่อนที่จะพาพ่อมาพิสูจน์ ผมกับพ่อก็ได้ถอดแบตออกเอาไว้ก่อนแล้ว วางไว้แค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ตัวแบตก็ไม่ได้วางคนละที่กันเลยนะครับ แบบวางไว้ใกล้ๆกันนั่นแหละ พอหลังเที่ยงคืนไปนิดหนึ่ง ผมกับพ่อ ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้านั้นอีกครั้ง ตอนนั้นพ่อผมสีหน้าตกใจมาก ผมกับพ่อก็เหลียวมองหน้ากัน แบบกลัวๆ ตกใจ และแปลกใจ ก็ทั้งๆที่เช็คแล้วว่ามือถือไม่สามารถเปิดได้และถอดแบตออกแล้วแท้ๆ แต่เสียง ไฟ และการสั่นนั่นมันคืออะไร จะบอกว่า วางแบตไว้ใกล้ๆกันจะส่งพลังงานไปได้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
จากนั้นวันรุ่งขึ้น ครอบครัวผมจึงสอบถามไปยังแฟนของเพื่อนพ่อที่เสียชีวิต เขาก็เล่าว่า ได้เอาแป้งไปโรยในบ้านเพื่ออยากรู้ว่าแฟนเขาที่ตายจะมาหามั้ย ก็ปรากฎว่ามีรอยเท้าเดินไปทั่วบ้าน ทั้งที่เขาอยู่คนเดียว พอได้ยินแบบนั้น พ่อจึงคิดว่า เขาน่าจะเป็นห่วงแฟนเขา ห่วงบ้านและห่วงของ พ่อผมก็เลยเอามือถือที่เขามาจำไว้ มอบให้กับแฟนของเขาไปเพราะคิดว่า มันน่าจะดีกว่าเอากลับมาที่บ้านอีกแน่นอน และหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเจอเรื่องราวประหลาดๆอะไรอีกเลย