Site icon Investwallet

เล่าเรื่องผีหลอน EP.8 เปรตที่วัดจุมพลสุทธาวาส

เล่าเรื่องผีหลอน EP.8 เปรตที่วัดจุมพลสุทธาวาส
YouTube video player

เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินเรื่องของผีเปรตกันมามากมายแล้วใช่ไหมคะ ว่ากันว่าผีเปรต คือผีที่ตอนสมัยยังมีชีวิตอยู่ มักจะก่อกรรมทำเข็ญอย่างร้ายแรง พอตายไปจึงต้องหิวโหยและทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก จึงมักมาขอส่วนบุญตามงานบุญต่างๆ และเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ก็เป็นเรื่องของผีเปรตที่น่าสงสารที่เราเคยเห็นที่วัดจุมพลสุทธาวาสเมื่อตอนที่เรายังเด็ก เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นพวกเรายังเป็นเด็กเล็กอยู่ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า บ้านคุณตาของเขาอยู่ละแวกวัดจุมพลสุทธาวาส ในตอนเย็นวันศุกร์แม่ก็จะพาไปนอนที่บ้านตา ซึ่งสมัยนั้นวัดจุมพลฯ ยังเป็นป่ารกครึ้ม พอตกเย็นแถวนั้นจะเงียบสงัดวังเวง ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมาเท่าไรหากไม่มีงานที่วัด ยิ่งตกดึกก็จะยิ่งเงียบ เงียบขนาดที่ว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ที่หล่นลงดิน กับเสียงหมาเห่าหอนตลอดคืน

ตอนนั้นเพื่อนบอกว่าถ้าใครตื่นขึ้นมากลางดึกก็มักจะได้ยินเสียงประหลาด บางครั้งก็เป็นเสียงหวีดแหลมๆเล็กๆ บางครั้งก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวน โดยเฉพาะช่วงวันโกนวันพระจะได้ยินเสียงดังนานกว่าทุกๆวัน ยิ่งในคืนหน้าหนาวด้วยแล้วบรรยากาศมันชวนให้สยองขวัญยิ่งนัก
เมื่อได้ยินเสียงประหลาดเพื่อนมันก็มักจะตกใจตื่นขึ้นมาและร้องไห้ หรือไม่ก็เอาผ้าห่มมาคลุมแล้วเอามือปิดหูทำเป็นไม่ได้ยินเสียงอะไร สักพักก็ผลอยหลับไปเอง เพื่อนบอกว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่เกือบปี

ตื่นเช้ามาเวลาถามตา ก็มักได้คำตอบว่า ไม่มีอะไรหรอกแค่เสียงลมพัดยอดมะพร้าวหรือไม่ก็ยอดตาล เสียงมันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วให้เพื่อนรีบเข้านอนแต่หัวค่ำตื่นเช้าสมองจะได้แจ่มใส อยู่ในบ้านตาไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพื่อนก็รับฟังแต่ก็ยังสงสัยว่าบางคืนไม่เห็นมีลมเลยสักนิด มันก็ยังได้ยินเสียงนั่นเลยนี่นา

ตื่นมาตอนเช้าเพื่อนก็ถามตาทุกครั้ง จนตาเองก็นั่งหมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปทางวัดจุมพลอยู่เป็นนานสองนาน

อีกหลายวันต่อมาเพื่อนตามแม่ไปนอนที่บ้านตาอีก คราวนี้มันกลับไม่ได้ยินเสียงประหลาดนั่นอีกแล้ว พอตื่นเช้ามาตาก็เล่าให้ฟังว่า เสียงนั่นเป็นเสียงร้องขอส่วนบุญ เมื่อถึงเวลาดึกดื่นค่อนคืน มันจะต้องออกมาร้องขอส่วนบุญเช่นนี้ทุกคืน
ตัวมันสูงมาก สูงกว่าต้นตาลเสียอีก มันจะเดินไปเดินมาอยู่ในวัด เวลามันก้าวขาเดินจะข้ามโบสถ์ ศาลาวัด หรือกุฏิพระ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น แล้วก็หวีดร้องขอส่วนบุญกุศล พอรุ่งเช้ามันก็จะหายไป

ตาเล่าว่าคืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ตาเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับมัน พอถึงเวลาเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงมันหวีดร้องดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆแถวๆในวัด ตาจึงเอาย่ามและหวายเสกตามเข้าไปในวัด
เมื่อไปถึงตาก็เห็นมันยืนร้องโหยหวนอยู่แถวๆศาลาวัด ตาเลยล้วงไปในถุงย่ามหยิบเอาข้าวสารมากำหนึ่งเสกคาถาแล้วก็ซัดไปข้างหน้า เสียงนั้นก็หวีดร้องดังขึ้นกว่าเดิม พร้อมส่ายตัวโอนเอนไปมา

จากนั้นตาจึงยกหวายขึ้นจบหัวเสกคาถาแล้วก็ตีไปข้างหน้า ๓ ที ดูเหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้องจนสุดเสียง ดังก้องคุ้มวัดเลย จากนั้นเสียงก็เงียบไป

ตื่นเช้ามาตาก็ไปเดินดูตามบ้านต่างๆละแวกวัดนั้นแล้วบอกว่า ไปเจอหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ที่บ้านหลังหนึ่ง กำลังนอนร้องครวญคราง ญาติๆบอกว่าจับไข้ตัวร้อนมาตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนอีกบ้านหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกลก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมีลักษณะอาการเช่นเดียวกัน
ตาจึงขอเข้าไปดูอาการใกล้ๆ ปรากฏว่าตามตัวมีริ้วรอยเป็นผื่นแดงเต็มตัว ปวดแสบปวดร้อนมาก และมีรอยเป็นปื้นแดงคล้ายถูกฟาดด้วยไม้ที่กลางหลัง

พอเห็นตาเดินเข้าไปคนทั้งสองก็ตัวสั่น ร้องลั่น จะลุกหนี ตาก็ล้วงเอาข้าวสารเสกมาเสกแล้วซัดใส่ไปอีก คราวนี้คนทั้งสองก็หมดสติไปเลย แล้วตาก็พูดว่า

“ไปซะ ไปให้พ้น ไปสู่ที่ชอบๆของเจ้าเถิด อย่าได้มาก่อกวนชาวบ้านที่นี่อีกเลย”

แล้วก็เดินกลับบ้านไป

พอวันต่อมาปรากฏว่าชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นก็หายสาปสูญไปเลย ไม่มีใครได้พบได้เห็นอีกเลย…

Exit mobile version