ว่ากันว่า บ้านแต่ละหลังมักจะมีความทรงจำ เรื่องราวและประวัติที่แตกต่างกันออกไป บางบ้านก็จะเป็นบ้านแห่งความทรงจำที่น่าอบอุ่น แต่บางบ้านก็เป็นความทรงจำที่ไม่มีใครอยากจะจำ ยิ่งเป็นบ้านให้เช่า บางครั้งเราไม่รู้เลยว่า บ้านหลังนั้นมีความทรงจำแบบไหน เพราะคงไม่มีใครกล้าเล่าเรื่องแบบนี้พล่อย ๆ แน่ ๆ ดังเรื่องราวของคุณยาม ที่ได้แชร์ประสบการณ์สุดหลอนเกี่ยวกับบ้านที่เขาไปเช่า ซึ่งคุณยามเล่าว่า
ผมทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งใน อ.แม่จัน ส่วนแฟนทำงานที่โรงพยาบาลแม่จัน คือเราสองคนแต่งงานและมีลูก 1 คน และกำลังหาบ้านเช่าที่ราคาไม่แพงและพออยู่ได้ หลังจากได้บ้านพักแล้วเราก็ย้ายของเข้าบ้าน ผมแฟนและเพื่อนผมมาช่วยทำความสะอาดแล้วเก็บของเดิมที่เป็นของเจ้าของบ้านออกไปไว้ที่ห้องเก็บของหลังบ้านเพราะไม่อยากใช้มี (ซึ่งของก็จะมีตู้กระจกส่องหน้าแบบเก่าเป็นไม้แกะสลักและผ้าม่านสีเหลือง) แต่ผ้ายันต์ที่ติดตามเสาบ้านพวกผมไม่กล้าแตะเลยปล่อยเอาไว้แบบนั้น
เมื่อขนของเข้าบ้านเสร็จก็รีบจัดของ โดยเอาคอมพิวเตอร์ไว้แทนที่ตู้กระจกไม้แกะสลัก (อ้อลืมบอกไปครับว่าบ้านที่ผมเช่ามี 3ห้องนอน 1 ห้องน้ำ แต่เจ้าของบ้านให้เราใช้แค่ 2 ห้อง ส่วนอีกห้องหนึ่งขอปิดตายเลย ซึ่งแกบอกว่าจะเอาเก็บของซึ่งผมกับแฟนก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เพราะที่ต้องใช้ก็แค่ที่มีพอแล้ว)
พอจัดบ้านเสร็จเราก็เลี้ยงเจ้าที่พระภูมิเสร็จตอนเย็นพอดี ผมกับเพื่อนก็เลยนั่งกินเหล้ากัน พอเหล้าเข้าปากไปได้สักพัก เพื่อนผมมันดันปากเสีย มันบอก
”มึงเชื่อกูไหมว่าบ้านนี้มีผี”
ผมเลยรีบบอกมันไปว่า
“อย่าปากเสียตั้งแต่มาอยู่คืนแรกสิ มันไม่ดีนะเว้ย”
แต่เพื่อนมันก็ไม่ยอมหยุด ผมเลยรีบบอกมันให้กลับบ้านไป แต่ก่อนที่มันจะกลับมันก็ถอดสร้อยพระให้ผม แล้วมันก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
ผมไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดรึเปล่า เพราะผมเห็นมีผู้หญิงนั่งซ้อนท้ายมันไปด้วย พอตั้งสติได้ผมก็เลยโทรหามัน แต่มันไม่รับ ผมเลยเข้าบ้านและบอกให้แฟนผมเก็บเหล้าและกับแกล้ม จากนั้นผมก็เลยไปอาบน้ำ
พอผมอาบน้ำเสร็จเลยเข้านอนหลับไปได้สักพัก เพื่อนมันก็กลับมาหาผมที่บ้านโดยให้พี่สาวมันมาส่ง มันบอกผมว่ารถมันหายและมันก็คิดว่าผมเป็นคนเอารถของมันไป มันบอกว่ามาเรียกตั้งนานไม่ยอมตื่น พอตื่นขึ้นมาผมงงเลยครับว่ามันเข้ามาในเขตบ้านได้ยังไง เพราะผมล็อคประตูรั้วไว้แล้ว
พอผมถามมันก็บอกว่ามีคนเปิดให้ ผมก็เถียงมันไปว่าผมล็อครั้วแล้วแต่มันไม่เชื่อ ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด เลยวกกลับมาเรื่องที่มันบอกว่ารถหายและผมเอาไป ซึ่งผมไม่ได้เอารถของมันมา แต่มันก็ยืนยันครับว่าผมซ้อนท้ายไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน ผมเลยบอกมันว่าผมไม่ได้ไปแต่เห็นมีคนซ้อนท้ายมันไป
พี่สาวมันเลยชวนมันกลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วก็เจอรถมันจอดอยู่คันเดียวเลย เจ้าของร้านยังบอกว่ามันมานั่งสั่งก๋วยตี๋ยว 2 ถ้วยแล้วมันกินเสร็จ 1 ถ้วย จากนั้นก็ลุกเดินไปร้านขายของแล้วหายไปเลย
พอมันเจอรถแล้วมันก็เลยกลับบ้าน ซึ่งระหว่างทางมันก็เกือบจะโดนสิบล้อชนเพราะมันข้ามถนนจังหวะที่รถสิบล้อวิ่งมาพอดี ซึ่งมันก็บอกกับผมว่าตอนที่ข้ามมันไม่เห็นมีรถอะไรมาเลยนะ
พอเช้ามาผมจะไปทำงาน ผมเห็นรอยเท้าอยู่หน้าห้องที่ปิดตายเอาไว้แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ผมก็เลยเช็ดก่อนไปทำงานซึ่งวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมยังต้องเข้างานแต่แฟนผมหยุดครับ แล้ววันเดียวกันลูกผมดันมาเป็นไข้อีก แฟนผมเลยโทรบอกเพื่อนของแฟนที่ทำงานร.พ. ว่าช่วยเอายาแก้ไข้เด็กมาให้ลูกผมด้วย
ตอนเย็นผมกลับจากทำงาน เราก็ไปหาเพื่อนผมที่บ้านมันแล้วคุยกันเรื่องเมื่อคืนก่อน พอมืดก็กลับมานอนบ้านซึ่งคืนนี้ไม่มีอะไรครับ
พอเช้าวันจันทร์ผมและแฟนก็ไปทำงาน ส่วนลูกฝากเลี้ยงที่โรงเรียน พอแฟนไปถึงที่ห้องทำงาน เพื่อนคนที่เอายาแก้ไข้มาให้ก็มาคุยด้วยแล้วบอกแฟนผมว่า
”กระจกที่บ้านเวลาส่องแล้วรู้สึกดีมาก ขอไม่ได้เหรอ”
แฟนเลยว่าที่บ้านไม่มีกระจกนะ เอาออกไปตั้งแต่ตอนย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากคุยเรื่องนี้กับเพื่อนแฟนก็เลยรีบโทรมาหา ผมก็เลยบอกแฟนว่า
”งั้นเราย้ายออกเลยดีไหม ไม่อยากอยู่แล้ว”
แฟนก็เห็นด้วย
พอกลับถึงบ้านผมก็เลยรีบไปคืนห้อง และบอกกับเจ้าของบ้านไปตรงๆเลยครับว่าโดนผีหลอก
ซึ่งเจ้าของบ้านก็รู้ว่ามีผี แต่ไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกน่าจะกลัวไม่ได้ค่าเช่า แต่พอผมไปบอกแก แกก็เล่าว่าลูกกับเมียของแกแขวนคอตายในบ้าน ซึ่งเป็นห้องที่แกปิดตายเอาไว้นั่นแหละครับ พอผมได้ยินดังนั้นผมก็เก็บของออกมาเลย ซึ่งที่เก็บมาได้ก็จะมีแค่เสื้อผ้า2-3 ชุดครับ ไม่กล้าอยู่นานผมกลัว
และอีกอาทิตย์ต่อมาผมก็เลยพาเพื่อนมาด้วย 7-8 คน เพื่อมาช่วยกันขนของ ที่ต้องพากันมาเยอะๆเพราะถ้ามากันแค่ 2-3 คนแล้วมันเสียวครับต้องอาศัยคนเยอะไว้ก่อน
พอผมย้ายออกเสร็จก็ได้ข่าวว่ามีคนอื่นมาเช่าต่อและอยู่ได้ 2 วันครับ วันที่ 3 – 4 ไม่มีใครเห็นแกออกมาเลย เจ้าของบ้านเลยไปเรียก ปรากฏว่าเขาแขวนคอตายในบ้านหลังนั้นคนแถวนั้นเล่ากันว่าสภาพศพงี้ขึ้นอืดเลยครับ พอผมรู้แบบนี้ผมยิ่งไม่กล้าผ่านไปแถวนั้นเลย
พอได้ยินเรื่องราวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น บวกกับประสบการณ์ตัวเองที่เจอมา มันทำให้ผมนึกย้อนไปตอนที่ผมกับแฟนย้ายเข้ามาอยู่แรกๆ ซึ่งผมเคยไปซื้อธูปที่ร้านขายของที่อยู่ใกล้ๆ คนขายของก็ถามผมว่ามาอยู่ใหม่เหรอ อยู่บ้านหลังไหนล่ะ ซึ่งตอนนั้นผมก็บอกว่าบ้านหลังนี้ คนที่มาซื้อของคนอื่นๆที่อยู่ในร้านและคนขายของก็หันมามองผม ยิ้มแล้วเงียบไปเลยครับ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้แต่ไม่อยากพูดอะไรต่อ
แล้วอีกอย่างตอนนี้เพื่อนผม(คนที่ช่วยผมขนของเข้าอยู่ในตอนแรกก็ถูกรถสิบล้อชนตายไปแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นหรือไม่
และตั้งแต่นั้นมาก็ได้ข่าวว่ามีคนเข้ามาเช่าหลายคน แต่อยู่ไม่ได้สักคน และตอนนี้เจ้าของบ้านก็ไม่ได้เปิดให้ใครเช่าแล้ว เพราะเจ้าของบ้านย้ายเข้าไปอยู่เองเลยแล้วปล่อยเช่าบ้านที่แกอยู่แทน