เพื่อนๆเชื่อเรื่องจิตวิญญาณหลังตายแล้วใหม่ๆไหมคะ บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองตายแล้ว แต่บางคนก็รู้ตัวแล้วว่าจะตาย ซึ่งทั้งสองอย่างก็จะมีความตอบสนองแตกต่างกัน ซึ่งเรื่องที่เราจะเล่าในวันนี้เป็นเรื่องของวิญญาณที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองตาย แต่ต้องการที่จะกล่าวคำอำลากับบุคคลอันเป็นที่รัก โดยเรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นเรื่องจากคุณ วิมลวรรณ ที่เล่าประสบการณ์ขนหัวลุก
ที่ได้เจอกับตัวเองมาอย่างจัง โดยคุณวิมลวรรณเล่าว่า ปกติแล้วดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องของผีสางมาก่อน แต่ก็ชอบฟังและชอบดูหนังผี แต่แล้ววันหนึ่งดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอย่างจังๆด้วยตัวของดิฉันเอง ซึ่งตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าถ้าใครมาเล่าก็คงไม่เชื่อแน่ๆ แต่บังเอิญว่าเรื่องนี้ดันเกิดขึ้นกับตัวเองจึงเชื่อเต็มร้อย
โดยเรื่องเริ่มมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ป้าช้อย ซึ่งป้าช้อยเป็นพี่สาวของแม่ดิฉัน ป้าช้อยได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 กว่าๆที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้าน แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง ป้าช้อยแกเป็นสาวโสดและอยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ และตัวดิฉันเองก็รักป้าช้อยเหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ป้าช้อยแกก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆมานานจนวันนั้นแกก็จากไปอย่างสงบ
ดิฉันกับน้องชายจึงต้องออกมาหารถแท็กซี่ ย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวง แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างก็ตาม อีกทั้งตอนนั้นประตูใหญ่เข้าตึกก็ปิดไปแล้ว เราเลยต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างของตึกแล้วเดินไปบนชั้น 2 เพื่อกดลิฟต์ขึ้นชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องรวมที่ป้าช้อยแกรักษาตัวอยู่ ร่างของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ
แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตาคล้ายจะยุบลงในเบ้า เราสองคนจึงพนมมือไหว้ศพ ขออโหสิกรรม และหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติ
หลังจากจัดการเรื่องเอกสารและเรื่องจัดการศพต่างๆก็ ราว 5 ทุ่มเศษ เรา 2 คนพี่น้องก็ลงจากตึกกลับทางเก่าที่เราเข้ามา
โดยระหว่างเราก็ปรึกษากันถึงเรื่องจัดงานศพ สถานที่จัด รวมไปถึงการบอกเกล่าญาติพี่น้องคนอื่นๆ สักครูใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วเข้ามาในหู ถึงแม้ว่าที่ตรงนั้นจะอยู่ใกล้วัด แต่พวกเราก็คิดว่าจะมีพระที่ไหนมาสวดมนต์ยามดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ แถมเสียงนั้นถ้าฟังดูดีๆแล้วก็เหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมศพอีกต่างหาก!
พอคิดได้แบบนั้นดิฉันก็หยุดชะงัก ฝ่ายน้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย และพึมพำเบาๆว่า
“พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้? หรือว่า….”
ซึ่งตอนนั้นน้องชายพูดยังไม่ทันจบเสียงก็ขาดหายไป
ดิฉันจึงหันมามองก็เห็นน้องชายเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง พอเบนสายตามองตามที่น้องชายมองอยู่ดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอย แล่นซ่าลงไปตามไขสันหลัง เมื่อเห็นร่างของคนไข้กลุ่มหนึ่งประมาณ 3 คนกำลังเดินช้าๆ อยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่นี้ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว คุณพระช่วย ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน ดิฉันเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่า เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นถนนราวคืบเศษ
ทันใด คนกลางก็ดูผอมสูงกว่าเพื่อนก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเราอย่างช้าๆ ป้าช้อย เสียงครางดังมาจากน้องชาย ซึ่งตัวดิฉันเองรู้สึกม่านตาพร่าลายหูอื้อเหมือนกำลังจะเป็นลม
ซึ่งที่เราสองคนเห็นเป็นป้าช้อยจริงๆ ค่ะ ป้าแกหันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา…ก่อนที่ร่างทั้ง 3 จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟสลัวๆนั้น ทิ้งเราสองคนพี่น้องยืนอึ้งตัวแข็งก้าวขาไม่ออก พอตั้งสติได้เราสองคนก็รีบวิ่งออกมาที่ถนนและเรียกแท็กซี่กลับบ้าน