มีใครเคยสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่างบ้างไหมคะ บางครั้งเราไม่ได้อยากเห็นหรืออยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ก็ดันไปเห็นหรือรับรู้ ซึ่งเรื่องเหล่านั้นมันก็ทำให้เกิดความกลัว จะกลัวมาก กลัวน้อยก็ขึ้นอยู่กับความใจแข็งของแต่ละคน ดังเรื่องราวที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของสมาชิกพันทิปหมายเลข 4306186 ที่ได้แชร์ประสบการณ์หลอนของตัวเองเอาไว้ เรื่องจะเป็นมายังไง เราไปรับฟังพร้อมๆกันเลยค่ะ
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังเรียน ปวช.อยู่ช่วงปี2-ปี3 เรื่องมีอยู่ว่า ผมรู้จักกับรุ่นน้องต่างวิทยาลัยฯอยู่คนนึง ซึ่งน้องคนนี้เขาเป็นคนทรง นับถือพระแม่ต่างๆ เทพต่างๆของทางศาสนาพราหมณ์ น้องเขาค่อนข้างมีเซนส์เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แล้วมีอยู่วันนึง ช่วงวันหยุดที่ไม่ได้ไปเรียน เราเลยชวนกันไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อโต(บางพลีใหญ่) ทำบุญเสร็จก็พากันเดินเล่นกันเรื่อยเปื่อยและไปเที่ยวกันที่ตลาดนํ้าโบราณ พอสักประมาณบ่าย3-4โมงเย็น น้องก็ชวนไปนั่งเล่น กินข้าวเย็นที่บ้านน้องแถวๆซอยมังกร และผมยังเองก็ไม่เคยไปเที่ยวบ้านน้องเขาด้วย ตั้งแต่รู้จักกันมา เลยตกลงไป
พอไปถึงบ้านน้อง ผมก็รู้สึก ผงะ! กับศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน คือมันบอกไม่ถูกอะครับ มันก็เป็นศาลพระภูมิปกติทั่วไปแบบที่บ้านอื่นๆเขามีกัน แต่ความรู้สึกแรกของผมที่มาบ้านหลังนี้แล้วเจอศาลหลังนี้คือ รู้สึกว่าที่นี่แรงมาก คือมันรับรู้ได้เลย กับความรู้สึกและบรรยากาศแรกที่มาถึง มันรับรู้ได้เลยว่าที่นี่เจ้าที่แรง ศาลพระภูมิต้องไม่ธรรมดา พอทีนี้ผมก็ชะงักไปนิดนึง แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
ลักษณะบ้าน คือเปิดเป็นบ้านให้เช่า เป็นบ้าน2หลังติดกันอยู่ในรั้วเดียวกัน หลังแรกที่อยู่ด้านหน้าใกล้ๆกับศาลนั้นปล่อยให้เช่า ส่วนหลังที่สองเป็นบ้านไม้สองชั้นข้างล่างเป็นปูนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของน้อง โดยบ้านหลังนี้น้องจะอยู่กับแม่ แต่แม่น้องไปทำงานต่างจังหวัดช่วงนั้น น้องก็เลยเป็นคนคอยดูแลบ้านเช่า แล้วก็พักอยู่บ้านหลังที่สองคนเดียว พอผมเข้ามาถึงในบ้าน ก็เห็นว่ากว้างดี ทางซ้ายมือจะเป็นโซนโซฟาไว้นั่งดูทีวี แล้วมีห้องน้ำอยู่ด้านใน ทางขวามือจะเป็นโซนครัวและโต๊ะกินข้าว มีบันไดอยู่กลางบ้านระหว่างสองโซนนี้พอดี
พอเข้าไปถึงผมก็ไปนั่งเล่นดูทีวี คุยกันกับน้องที่โซฟากันปกติ ตอนนั้นก็เริ่มเย็นแล้ว น้องเลยไปทำกับข้าว ผมก็ตามไปดูน้องทำ เผื่อจะได้ช่วยกันทำ เสร็จแล้วก็นั่งกินข้าวกินอะไรกันปกติ กินเสร็จ ก็มาเปิดทีวี นั่งคุยสัพเพเหระกันต่อ จนเริ่มคํ่า เลยคิดว่าได้เวลากลับแล้ว กลัวไม่มีรถ ผมเลยให้น้องพาไปส่งขึ้นรถ น้องก็พาเดินออกมาจากซอยบ้าน ไปที่จุดที่เรียกวินมอเตอร์ไซต์ ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ถึง 2 ทุ่มแต่ไม่มีวินมอเตอร์ไซด์เลยสักคัน ในซอยเงียบกริบ ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงแถวต่างจังหวัดนะคับ ที่เวลาหัวคํ่า คนก็เข้าบ้านนอนกันหมดแล้ว ถนนก็เปลี่ยวไปเลย คือเป็นแบบนั้นเลยครับ ทั้งๆที่ในซอยบ้านน้องจะมีบ้านคนเยอะมาก มีหลายหลังเพราะ เป็นหมูบ้านที่คนอยู่เยอะ แต่บรรยากาศสภาพแวดล้อมตรงนั้นคือเหมือนต่างจังหวัดเลย ดีหน่อยที่ยังมีไฟตามเสาไฟและหน้าบ้านคนที่บางบ้านเขาก็เปิดไฟหน้าบ้านไว้
ตอนที่น้องมันพามาเรียกวินผมพึ่งสังเกตุเห็นว่าจุดนั้นอยู่ตรงทางสามแพร่ง แล้วมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่มากขึ้นตรงทางสามแพร่งพอดี โคนต้นโพธิ์ก็มีผ้าสามสีผูกอยู่เต็มไปหมด ข้างหน้าก็จะมีศาลเพียงตาเล็กๆตั้งอยู่ หน้าศาลเพียงตาก็จะมีน้ำแดง ของไหว้และตุ๊กตาปูนปั้น ตอนผมยืนอยู่นี่รู้สึกวังเวงมาก คิดว่าถ้าอยู่คนเดียวคงหลอน แต่นี่ดีที่น้องมาส่งและยืนรออยู่ด้วยกัน และด้วยความที่ผมไม่ใช่คนในพื้นที่ ผมก็เลยมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย
จังหวะที่ผมกำลังหันหน้ากลับมาจะมองไปอีกทางหนึ่งตาผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึง ใส่ชุดขาว ผมหยิกเหมือนหยักศก ยืนก้มหน้าอยู่ตรงบ้านหลังนึงที่อยู่ตรงทางสามแพร่งฝั่งซ้ายมือ ตอนนั้นผมนิ่งอึ้ง ขาก็ถอยหลังไปนิดนึงแบบคนตกใจ เพราะถึงแม้เธอจะยืนก้มหน้า แต่ผมที่แหวกทั้งสองข้าง ทำให้ผมมองเห็นตาของเธอที่กำลังจ้องเขม็งมาทางผม
แปลกมากเพราะระยะห่างตรงผมกับเขาห่างกันประมาณเกือบ100เมตรได้ แต่ผมกลับเห็นแววตาของเขาชัดเจนมากแถมแววตาที่เขามองมา มันมีความรู้สึกแผงอยู่ในนั้นแรงมาก เป็นความรู้สึกเหมือนจิตอาฆาต เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาต คือมันรับรู้ได้ขนาดนั้นเลยนะครับ เหมือนเขาตั้งใจทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกของเขา หรือว่าเพราะความรู้สึกของเขามันรุนแรงมากจนเรารับรู้ได้เองก็ไม่รู้นะคับ พอผมเห็นและผมตั้งสติได้ ผมก็หันหลังมาหารุ่นน้องผมเลย และพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชวนเขาคุยนู่นนี่ จนสักพักก็มีวินผ่านมาพอดี ผมเลยขึ้นมอไซต์กลับ พอผมกลับมาถึงบ้าน และอาบนํ้าอาบท่าเสร็จ ผมก็มานอนคุยแชทกับน้องเขา ว่าถึงบ้านแล้วนะ
อยู่ๆน้องก็พิมพ์แชทมาหาผมว่า ลืมอะไรหรือเปล่า ผมก็งงถามว่าลืมอะไร ของก็เอากลับมาหมดนะ น้องเขาก็บอกว่า ลืมพาใครกลับไปด้วยรึเปล่า? ผมนี่งง สตั๊นไปเลยตอนนั้น ในหัวนี่คิดกังวลไปหมดเลยว่าผมโดนใครตามอยู่หรือเปล่า ผมก็พยายามคุยปกติ ถามน้องเขาไปว่าลืมอะไร ไปคนเดียว กลับคนเดียว พูดเรื่องไร? เขาก็บอกว่า มีเด็กตามผมมาด้วย2คน เขามากับผม แต่ผมไม่ได้พาเขากลับ ตอนนั้นผมไม่ไหวแล้วรู้สึกพิมพ์ไม่ทันใจ เลยโทรคุยเลย เลยถามน้องเขาว่าที่พูดมาคือยังไง น้องเขาก็เล่าให้ฟังว่า ความจริงตอนที่ผมมาถึงบ้านน้องเขาอ่ะ น้องเขาเห็นว่ามีผู้หญิงคนนึงสวยมากใส่ชุดนักศึกษาตามผมมาด้วย แต่เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะเจ้าที่ ที่นี่แรงมาก เลยได้แต่ยืนอยู่หน้าบ้านแล้วสักพักก็หายไป ตอนที่ผมเดินเข้าบ้านไป เขาก็เห็นมีเด็กผู้ชาย2คน เดินตามผมไปด้วย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่ได้ยินน้องเขาพูดจบ ตอนนั้นในหัวผม ผมคิดไปไกลต่างๆนาๆเลย ว่าผมเคยไปทำใครท้องหรือเปล่าวะ เคยทำผู้หญิงที่ไหนท้องแล้วเขาไปทำแท้งหรอ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงเพราะผมเป็นเกย์และยังไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงเลยด้วย ผมก็บอกน้องเขาไปว่าผมไม่เคยทำผู้หญิงที่ไหนท้องนะ แล้วผู้หญิงที่ตามผมมาคือใคร น้องเขาบอกว่า น่าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนแถวนั้นมั้ง เพราะวันนี้เราไปทำบุญกันมา เค้าคงรับรู้ได้ เค้าเลยตามผมมาเพื่อมาขอส่วนบุญ แต่ไม่ต้องห่วง น้องเขาบอกว่าเขารับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้มาดี มาแบบรูปร่างหน้าตาสวยเหมือนคนปกติทั่วไปเลย ผิวพรรณดีมาก น้องเขารับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้คิดร้ายกับผม
แล้วคราวนี้ผมก็เลยถามต่อว่าแล้วเด็ก2คนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงตามผมมา น้องเขาบอกว่าเด็ก2คนนั้นน่าจะมากับผม เพราะถ้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป คงเข้ามาที่บ้านหลังนี้ไม่ได้เหมือนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาไม่ได้แน่นอนเพราะเจ้าที่แรง แต่ที่เข้ามาได้แบบนี้ แปลว่าต้องมากับผม ผมเลยถามว่าลักษณะเด็กคนนั้นเป็นยังไง น้องเขาก็บอกว่า เป็นเด็กผู้ชาย2คน หน้าตาน่ารัก นุ่งโจงกระเบนแล้วมีสังวาลย์พาดที่ตัว
ผมก็นิ่งคิดสักพักนึงแล้วถึงกับอ๋อ เพราะผมนึกได้แล้ว ว่าที่บ้านผมเนี่ย ย่าผมเค้าเลี้ยงกุมารไว้2องค์ ปลุกเสกเบิกเนตรโดยพระ ตั้งชื่อให้ด้วย แต่ผมจำไม่ได้ เพราะปกติผมไม่ได้เป็นคนคอยดูแลหิ้งพระ เลยไม่ค่อยได้สนใจ พอผมนึกออกผมเลยบอกว่าต้องเป็นกุมารที่บ้านแน่ๆที่ย่าผมเลี้ยงไว้ น้องเขาบอกว่าก็คงใช่เพราะลักษณะเหมือนกุมารเลย จากนั้นน้องมันก็บ่นกับผมว่าเนี่ยน้องกุมาร ซนมากเลย พอผมกลับไปแล้ว น้องกลับบ้านมาตอนที่กำลังอาบนํ้า ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องนํ้าเบาๆ น้องเค้าก็เปิดประตูไปดู ก็ไม่เห็นอะไร คือน้องเขาเป็นร่างทรงเขาเลยไม่ค่อยกลัวอะไรแบบนี้ ออกแนวเห็นจนชิน แล้วทีนี้น้องก็กลับมาอาบนํ้าต่อก็มีเสียงเคาะห้องนํ้าอีก แต่น้องก็ไม่ได้สนใจและอาบนํ้าต่อจนเสร็จเหมือนรู้แล้วไงว่าคืออะไร แต่เสียงเคาะก็มาอีก แต่มันแรงขึ้นกว่าเดิม น้องมันก็เลยหงุดหงิดและเปิดประตูไปอีกกะจะว่าให้แต่ไม่เจอใคร แต่น้องบอกว่าเห็นเงาเด็กวิ่งหันหลังไวไว ไปหลบทางบันไดบ้านเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆด้วย น้องเขาก็เลยไม่ได้สนใจ แล้วก็มาคุยแชทกับผม
น้องเขาก็บอกว่าให้เอาน้องกุมารกลับไปด้วย ผมเลยถามว่าทำไง น้องเขาก็บอกให้เรียกกลับไปแหละ ผมก็ทำไม่เป็น เลยนึกในใจว่ากุมารที่ตามผมไปน่ะ ให้กลับมาได้แล้ว อย่าดื้อ ทำตัวดีๆจะซื้อของเล่นให้ แล้วเรื่องกุมารก็จบไป
คราวนี้ผมก็คิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วพูดเรื่องนี้กันแล้ว ผมเลยตัดสินใจจะเล่าเรื่องตรงทางสามแพร่งให้น้องฟัง ผมเลยเกริ่นๆกับน้องไปว่า รู้ไหมตอนที่มารอวินตรงทางสามแพร่ง ทำไมพี่ดูแปลกๆ พูดแปลกๆ น้องก็ถามกลับมาว่าทำไมหรอ? ผมเลยบอกว่าก็พี่เห็นอ่ะดิ พอผมพูดแค่นี้แหละพี่ น้องมันสวนขึ้นมาเลยว่า เห็นผู้หญิงผมหยิกยืนก้มหน้าตรงบ้านหลังนั้นมองตรงมาใช่ไหม? ผมอึ้งไปเลยครับ ตกใจมาก เห๊ยยยย! แบบน้องมันรู้ได้ไง แถมเราแค่บอกว่าเราเห็นแค่นั้น ยังไม่ได้บรรยายอะไรเลย แต่น้องมันบรรยายสวนมาเสร็จสรรพแบบตรงกับที่ผมเห็นเป๊ะ ผมนี่มือสั่นใจสั่นนํ้าตาคลอเบ้า เสียงตะกุกตะกักถามน้องมันเลยว่า น้องมันรู้ได้ไง เห็นด้วยหรอ? มันตอบกลับมาว่ามันเห็นก่อนผมอีก เห็นตั้งแต่มาถึงแล้ว แต่มันไม่ได้สนใจ ผมเลยบอกทำไมไม่บอกกันบ้าง มันก็บอกว่า กลัวบอกแล้วผมจะกลัว ผมก็รีบบอกไปว่าใช่ ผมกลัวมาก เพราะเห็นแล้วความรู้สึกที่ผมได้รับมันรู้สึกถึงแรงอาฆาตพยาบาท มันเหมือนจิตคุกคามเลยทำให้ผมกลัวมาก และผมก็บอกน้องมันไป
น้องมันก็เลยบอกว่า ว่าไม่แปลกหรอกที่เขาจะมีจิตอาฆาตแบบนั้น เพราะเขาฆ่าตัวตาย โดยการผูกคอตายที่ชั้น2ของบ้านหลังที่เขายืนอยู่นั่นแหละ นอกจากนั้นน้องมันยังพูดต่ออีกว่า แต่รู้สึกเหมือนเขาจะไม่ได้ฆ่าตัวตายเอง เหมือนจะโดนข่มขืนแล้วเอาไปแขวนคอให้เหมือนกับการฆ่าตัวตาย วิญญาณเขาเลยมีความอาฆาตแค้นรุนแรงแบบที่ผมรับรู้ได้นั่นแหละ ไม่แปลกหรอก พอน้องมันพูดจบ ผมนี่นํ้าตาไหลเลยด้วยความกลัว แบบเขาจะตามเรามาไหม เขาจะทำอะไรเราไหม น้องก็บอกว่า อย่าไปคิดมาก อย่าไปนึกถึงหรือสนใจ เขาทำอะไรผมไม่ได้หรอก ต่างคนต่างอยู่ ผมก็มีสิ่งศักดิ์คุ้มครองอยู่ เขาทำอะไรไม่ได้หรอก อย่าไปกลัว ผมฟังแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่ด้วยความที่เรารับรู้ถึงจิตคุกคามเขามาเต็มๆ มันเลยมีหวั่นๆในตอนนั้น