เรื่องที่เราจะนำมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันในวันนี้ เป็นเรื่องราวของคุณโอม ซึ่งคุณโอมได้ย้ายเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และได้เจอกับประสบการณ์อันน่าขนลุก ที่ทำให้คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีปิศาจมาก่อนอย่างคุณโอม กลายเป็นคนที่กลัวอย่างที่สุดไปได้ เรื่องราวจะเป็นยังไงบ้าง เราไปฟังพร้อมๆกันเลยค่ะ
สถานที่ที่ผมศึกษาอยู่ เป็นมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เป็นมหาลัยที่อยู่ในป่าสงบและบรรยากาศดีมากๆ รอบๆจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปะปนกันไป อากาศสดชื่น และด้วยความที่หมาลัยอยู่ในป่าทำให้มีความเชื่อกันเรื่องเจ้าที่เจ้าทาง และเจ้าป่าเจ้าเขา แต่ด้วยความที่ผม ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อน ทำให้วันที่ผมเข้ามาที่หอพักวันแรก ผมได้พบกับเพื่อนร่วมห้องอีก 3 คน ซึ่งนับรวมผมด้วย ก็เท่ากับว่าห้องนั้นพักกันอยู่ 4 คน ซึ่ง 2 คนในนั้นเป็นคนเหนือ และอีกคนหนึ่งที่มาจากกรุงเทพเหมือนกันกับผม
ปกติแล้วผมจะเป็นคนที่พูดเก่ง เข้ากับคนอื่นๆได้ง่าย และเมื่อถึงห้องวันแรก เพื่อนร่วมห้องทั้งหมดยังไม่รู้จักกัน ผมจึงเริ่มแนะนำตัวและให้ทุกคนแนะนำตัวเอง เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ชวนกันคุยไปเรื่อยเปื่อย จนมีคำถามหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่า ผมได้ถามว่า ทุกคนมีใครเคยเจอผีบ้างไหม ซึ่งเพื่อนสองคนก็ตอบว่าไม่มีใครเคยเจอมาก่อน แต่คนหนึ่งที่มาจากเชียงใหม่ ได้พูดเตือนๆพวกเราเอาไว้ว่า เรื่องพวกนี้มีจริงๆนะ ไม่เชื่อก็ให้อยู่นิ่งๆอย่าไปลบหลู่เลย ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ตอนนั้นจำได้ว่าพวกเรา 3 คนหัวเราะและบอกเพื่อนคนนั้นด้วยว่า งมงายจริงๆ หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะมหาวิทยาลัยยังไม่เปิดเทอม แค่เข้ามาเตรียมตัวกันเท่านั้น
เหลือไว้แต่ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาจากกรุงเทพเหมือนกันนอนอยู่ที่หอพักนี้ด้วยกัน 2 คน และการที่ได้อยู่ 2 คนในคืนแรก ก่อนนอนผมจึงชวนเพื่อนคุย และคุยโวด้วยความท้าทาย ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผีสางเทวดาต่างๆ ซึ่งผมพูดไปว่า ถ้ามีจริงๆก็ให้ออกมาให้เห็นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังคุยโวต่อไปอีกด้วยว่า เรื่องพวกนี้เป็นแค่การอุปาทานหมู่ที่ทุกคนคิดกันขึ้นมาเองทั้งนั้น ไร้สาระ ซึ่งเพื่อนอีกคนหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นไปมันก็ด่าผม ว่าอย่าปากดีเลย ทำไมไม่พูดตอนอยู่คนเดียวล่ะ ทำไมต้องมาพูดเอาตอนที่มันอยู่ด้วย ซึ่งมันก็ยอมรับกับผมว่ามันก็กลัวนิดๆเหมือนกัน แต่พูดคุยกันต่ออีกไม่นานนักก็นอนหลับ
พอตกกลางดึกผมก็รู้สึกสะดุ้งตื่น เพราะอากาศหนาว เหลียวมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาประมาณตี 2 ได้ อีกอย่างการที่มานอนที่ใหม่มันทำให้ผมนอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นเคย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจอย่างมากก็คือ ที่นี่ตอนกลางวันอากาศปกติดี แต่พอตอนกลางคืนกลับหนาวมาก ซึ่งผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากเป็นพิเศษเพราะคิดว่าอากาศทางภาคเหนือก็น่าจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ผมจึงลุกเดินไปปิดพัดผมและบานเกล็ดหน้าต่างเพื่อป้องกันลมจากข้างนอกเข้ามา แต่ตอนที่ผมกำลังจะปิดบานเกล็ดนั้นเอง สายตาของผมก็เหลือบมองไปข้างล่าง ซึ่งหอของผมนั้นรายล้อมด้วยป่าไม้ซึ่งผมเองพักอยู่ชั้น 4 ผมเห็นว่ามีคนๆหนึ่งยืนอยู่หลังต้นไม้ เป็นเงาตะคุ่มๆ ส่วนสูงดูเหมือนจะสูงกว่าคนปกติไปมาก รูปร่างใหญ่ พอเขาหันหน้ามามองเห็นเป็นตาสีแดงก่ำ พร้อมชี้นิ้วมาทางผม ตอนนั้นผมตกใจมาก จึงร้องตะโกนโวยวายเรียกเพื่อนร่วมห้องอีกคนให้ตื่น และพอเพื่อนตื่นขึ้นมาผมก็รีบเรียกเพื่อนให้มาดูในสิ่งที่ผมเห็น ซึ่งเพื่อนก็เห็นเหมือนกันอย่างที่ผมเห็น ตอนนั้นเราสองคนกลัวกันมาก จากนั้นเพื่อนมันก็พร่ำบอกเสียงสั่นว่า นี่ไงสิ่งที่มึงอยากเจออ่ะ เขามาหามึงแล้วไงล่ะ ผมกับเพื่อนกลัวมากจึงรีบไปเปิดไฟในห้องทุกดวงที่มีให้สว่างๆ แล้วนั่งสวดมนต์พร้อมขอโทษที่ได้ลบหลู่ แต่อยู่ๆก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้นมาว่า ไม่ต้องสวดแล้ว ซึ่งเสียงที่ได้ยินนั้นทำเอาผมและเพื่อนอีกคนขนลุกซู่และหลอนกันไปเลย
สรุปแล้วทั้งคืนผมกับเพื่อนนั่งกลัวตัวสั่นไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว หลังจากเกิดเหตุการณ์ในคืนนั้น ทำให้ผมเชื่อเรื่องแบบนี้ไปเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่ผมกับเพื่อนเห็นพวกเราสองคนไม่ได้ตาฝาด และจากการพิจารณาดูแล้วก็ไม่น่าจะมีใครไปยืนในจุดจุดนั้นอย่างแน่นอน และสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เสียงที่พวกเราได้ยิน มันเป็นน้ำเสียงของผู้ชายแก่ๆ ถ้าไม่ใช่ผีสางแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ และคงไม่มีใครมาแกล้งอะไรกันตอนนั้นแน่ๆ หลังจากนั้นทำให้ผมไม่กล้าปากดีและเชื่อเรื่องแบบนี้อย่างสนิทใจไปเลย เพราะโดนมาแล้วกับตัวจึงเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันมีเหตุผลในตัวของมันเองอยู่ ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่นั้นมันก็ทำให้ผมไม่กล้าอยู่หอต่อไปอีกเลย ผมทนอยู่หอนั้นต่อไปประมาณ 2 เดือน หลังจากปิดเทอมผมก็รีบย้ายออกไปอยู่หอนอกคนเดียวทั้งๆที่กฎของมหาลัยบอกเอาไว้ว่าให้ปีหนึ่งอยู่ในหอทุกคน แต่ผมไม่กล้าอยู่แล้ว เพราะยังหลอนไม่หาย
และนี่ก็เป็นประสบการณ์หลอนขนหัวลุกที่คุณโอมเล่าสู่กันฟัง ก็อย่างที่หลายๆคนบอกกันแหละค่ะว่าถึงแม้เราไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอ ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งๆนั้นมันจะไม่มีเสมอไป หากไม่เชื่อก็จงเงียบๆเอาไว้อย่าพูดอะไรที่เหมือนลบหลู่ดูหมิ่นเลย ถ้าไม่อยากเจอกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์อย่างที่คุณโอมได้เจอมา